Blog

  • ฟลอเรียน เวิร์ตซ์ ปฏิเสธประตูแรกของลิเวอร์พูล หลังออ แถลงการณ์หลังซันเดอร์แลนด์ตีเสมอ ufa365

    ฟลอเรียน เวิร์ตซ์ ปฏิเสธประตูแรกของลิเวอร์พูล หลังออ แถลงการณ์หลังซันเดอร์แลนด์ตีเสมอ ufa365

    พรีเมียร์ลีกออกแถลงการณ์หลังจาก ฟลอเรียน เวิร์ตซ์ คิดว่าเขาเป็นคนทำประตูตีเสมอให้ลิเวอร์พูลในเกมกับซันเดอร์แลนด์ที่แอนฟิลด์เมื่อคืนวันพุธ ufa365

    ค่ำคืนที่แอนฟิลด์ที่ควรจะเป็นช่วงเวลาจดจำของ ฟลอเรียน เวิร์ตซ์ กลับกลายเป็นอีกหนึ่งฉากดราม่าที่ตอกย้ำความรู้สึก “ติด ๆ ขัด ๆ” ของลิเวอร์พูลในยุคใหม่ภายใต้การคุมทีมของ Arne Slot แทนที่จะได้ฉลองประตูแรกในสีเสื้อหงส์แดงต่อหน้าเดอะค็อปทั้งสนาม ดาวเตะทีมชาติเยอรมนีกลับต้องเห็นชื่อของตัวเองหายไปจากสกอร์ชีต เมื่อพรีเมียร์ลีกออกแถลงยืนยันว่า ลูกยิงตีเสมอในนาทีที่ 81 จะถูกบันทึกเป็น “เข้าประตูตัวเอง” ของ นอร์ดี้ มูกีเล่ กองหลังซันเดอร์แลนด์อย่างเป็นทางการ

    จังหวะดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงโค้งสุดท้ายของเกม ลิเวอร์พูลกำลังตามหลัง 0–1 ต่อทีมเยือนที่เล่นได้อย่างมั่นใจและมีระเบียบ เวิร์ตซ์รับบอลบริเวณหน้ากรอบเขตโทษ ก่อนแต่งหาจังหวะแล้วสับไกเต็มข้อ บอลพุ่งไปโดนขา มูกีเล่ เปลี่ยนทางผ่านมือผู้รักษาประตูโรบิน โรเฟส เข้าไปชนิดที่นายด่านซันเดอร์แลนด์ทำอะไรไม่ได้ เดอะค็อปลุกขึ้นเฮสนั่น สนามบ้าคลั่งราวกับได้เห็นการปลุกชีพของทีมในช่วงท้ายเกม และทุกคนต่างคิดตรงกันว่านี่คือ “ประตูแรกของเวิร์ตซ์กับลิเวอร์พูล” ที่รอคอย

    แต่หลังจากเสียงเฮเงียบลง ไม่กี่นาทีก็มีการยืนยันจาก Premier League Match Centre ว่า ประตูดังกล่าวจะถูกจดเป็นเข้าประตูตัวเอง โดยแถลงสั้น ๆ ว่า “คณะกรรมการรับรองประตูได้ตัดสินว่าประตูในนาทีที่ 81 ของลิเวอร์พูลเป็นการทำเข้าประตูตัวเองของนอร์ดี้ มูกีเล่” เหตุผลสำคัญคือทิศทางของลูกบอลหลังจากโดนตัวมูกีเล่เปลี่ยนมุมจนผู้รักษาประตูอ่านทางไม่ออก ซึ่งเข้าหลักเกณฑ์ของการให้เครดิตเป็น “own goal” มากกว่าจะเป็นประตูของผู้ยิงคนแรก

    แง่มุมนี้อาจฟังดูเป็นรายละเอียดเล็ก ๆ สำหรับคนดู แต่สำหรับนักเตะ โดยเฉพาะแข้งใหม่ที่ยังรอ “โมเมนต์ปลดล็อก” อย่างเวิร์ตซ์ ตัวเลขบนสกอร์ชีตย่อมมีความหมาย ทั้งในมุมความมั่นใจและประวัติส่วนตัว ทว่าเมื่อถูกผู้สื่อข่าวถามหลังเกมว่า เสียดายไหมที่ไม่ได้รับเครดิตเป็นประตูแรก เขากลับตอบสั้น ๆ แต่สะท้อนความเป็นมืออาชีพว่า

    “ไม่สำคัญเลยวันนี้ เพราะเราจบด้วยผลเสมอ ทั้งที่ต้องการสามคะแนน เราโชคร้าย”

    คำตอบดังกล่าวอธิบายสภาพจิตใจของเวิร์ตซ์ได้ดี เขาไม่ได้หมกมุ่นกับสถิติส่วนตัวมากไปกว่าสภาพรวมของทีม ลิเวอร์พูลในฤดูกาลนี้ต้องเจอกับแรงกดดันรอบด้าน ทั้งฟอร์มที่แกว่ง ความไม่แน่นอนในเกมรุก และกระแสวิจารณ์ต่อ Arne Slot ที่ยังไม่สามารถสร้างทีมให้ “ลงล็อก” แบบที่แฟน ๆ เคยคุ้นในยุคเจอร์เก้น คล็อปป์

    หากมองย้อนกลับไปตั้งแต่เริ่มเกม ซันเดอร์แลนด์ไม่ใช่ทีมที่มาเพื่อ “เอาตัวรอด” เท่านั้น พวกเขากล้าถือบอล กล้าขึ้นเกม และใช้ความแน่นอนในจังหวะเปลี่ยนจากรับเป็นรุกเล่นงานแนวรับลิเวอร์พูลหลายครั้ง จนในที่สุดก็มาได้ประตูนำจากลูกยิงไกลของ เชมส์ดิน ทัลบี ที่บอลแฉลบขา เวอร์จิล ฟาน ไดค์ เปลี่ยนทางเข้าประตู อลิสซอน เบ็คเกอร์ ที่ออกตัวไปแล้วไม่มีโอกาสแก้ตัวมากนัก ประตูนี้สะท้อนให้เห็นว่า แนวรับหงส์แดงไม่ได้มีปัญหาแค่ “ความผิดพลาดรายบุคคล” แต่ยังมีเรื่องของตำแหน่งยืน การบีบพื้นที่ และการปิดซ้อนหน้ากรอบที่ยังไม่กระชับเหมือนเดิม

    สถานการณ์ยิ่งชวนให้แฟนบอลตั้งคำถามเมื่อ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ถูกดร็อปจากตัวจริงอีกครั้งต่อเนื่องจากเกมกับเวสต์แฮม ยูไนเต็ด ถึงแม้คราวนี้เขาจะถูกส่งลงมาตั้งแต่เริ่มครึ่งหลังแทนโคดี้ กั๊กโป แต่ภาพรวมของเกมรุกก็ยังดูขาด “แรงระเบิด” ในพื้นที่สุดท้าย ลิเวอร์พูลครองบอลได้เยอะ แต่จังหวะขึ้นเกมริมเส้น การวิ่งทำทาง และการเชื่อมต่อในพื้นที่สุดท้ายกลับขาดความคมชัดที่เคยทำให้คู่แข่งหวาดกลัวในยุคก่อน

    เมื่อเวลาผ่านไป ความกดดันในแอนฟิลด์กลับยิ่งหนาขึ้น การผ่านบอลช้าไปครึ่งจังหวะ การตัดสินใจเลี้ยงต่อแทนจ่ายเร็ว หรือจังหวะสับไกที่ลังเล ทำให้เกมบุกของลิเวอร์พูลดู “หนืด” จนแฟนบอลบางส่วนเริ่มโห่แผ่ว ๆ ระบายความอึดอัด แต่แล้วก็เป็นเวิร์ตซ์ที่ฉายแววความเป็น “จอมสร้างสรรค์เกม” ออกมาในช่วงท้าย ช่วงเวลาที่เขาเลี้ยงแหวกแนวรับซันเดอร์แลนด์ก่อนยิงให้บอลไปชนมูกีเล่เข้าประตู นั่นคือภาพของนักเตะระดับท็อปที่สามารถสร้างจังหวะได้เองแม้ทีมจะเล่นไม่ดี

    น่าเสียดายที่หลังจากตีเสมอได้ ลิเวอร์พูลไม่สามารถใช้โมเมนตัมนี้พลิกเกมเป็นสามคะแนนได้ ซันเดอร์แลนด์กลับเกือบช็อกทั้งแอนฟิลด์ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ เมื่อ วิลสัน อีซีดอร์ หลุดเดี่ยวเข้าไปดวลกับอลิสซอน บอลหลุดผ่านมือผู้รักษาประตูไปแล้ว แต่โชคยังเข้าข้างเจ้าบ้านเมื่อ เฟเดริโก้ เคียซ่า วิ่งกลับมาสไลด์เคลียร์จากเส้นประตูได้หวุดหวิด ฉากดังกล่าวกลายเป็นภาพจำของเกมนี้พอ ๆ กับลูกยิงของเวิร์ตซ์ – ภาพที่แสดงให้เห็นว่า ลิเวอร์พูลสามารถ “ตกเป็นรอง” ในบ้านตัวเองได้ชัดเจนแค่ไหน

    ฝั่งคอมเมนเตเตอร์อย่าง เจมี คาร์ราเกอร์ ก็ไม่ได้ออมคำมากนัก เมื่อกล่าววิจารณ์สดทาง Sky Sports ว่า

    “ในบางมุม ผมคิดว่าซันเดอร์แลนด์เองก็น่าจะผิดหวังที่ได้แค่หนึ่งแต้ม ลิเวอร์พูลน่าเป็นห่วงมากจริง ๆ วันนี้เหมือนทีมถอยหลังไปอีกก้าว”

    เขาชี้ให้เห็นว่า ลิเวอร์พูล “แทบไม่ดูมีโอกาสจะยิงประตูได้เลย” ในหลายช่วงของเกม ขาดทั้งความเร็ว แรงปะทะ และพลังงานที่เคยเป็นเอกลักษณ์ ทำให้เกมรุกดูช้าและอ่านง่าย นี่คือสัญญาณเตือนที่อาจสำคัญไม่แพ้ผลเสมอในตารางคะแนน

    หากเปรียบเทียบกับยุคที่ลิเวอร์พูลเต็มไปด้วยตัวรุกเลือดเดือด ไล่เพรสไม่หยุด การเห็นทีมเล่นแบบขาดความไหลลื่นเช่นนี้ ย่อมสร้างคำถามใหญ่ให้กับแฟน ๆ ว่า “โครงสร้างใหม่” ที่สโมสรพยายามสร้างขึ้นกำลังมุ่งหน้าไปในทิศทางที่ถูกต้องหรือไม่ การเข้ามาของผู้เล่นใหม่หลายคนรวมถึงเวิร์ตซ์ควรจะเติมคุณภาพ แต่จนถึงตอนนี้สิ่งที่เห็นคือทีมยังหาจุดสมดุลไม่ได้

    กระนั้นเอง ฟอร์มของเวิร์ตซ์ในเกมนี้ก็มีด้านบวกให้จับต้องได้ นอกจากจังหวะยิงที่กลายเป็นต้นเหตุของประตูตีเสมอแล้ว เขายังเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่พยายามเล่นระหว่างไลน์ ดึงกองหลังซันเดอร์แลนด์ออกจากตำแหน่ง และสร้างช่องให้เพื่อนวิ่งสอดเข้าเขตโทษ การอ่านเกมและการเคลื่อนที่โดยไม่มีบอลของเขา คือสิ่งที่อาจกลายเป็นอาวุธสำคัญในระยะยาว หากทีมสามารถสร้างโครงสร้างรอบตัวเขาได้ลงตัวกว่านี้

    เกมนี้ยังสะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงใน “ลำดับความสำคัญ” ของสโมสรด้วย การที่พรีเมียร์ลีกมี Goal Accreditation Panel คอยตรวจสอบและกำหนดเครดิตของแต่ละประตูอย่างละเอียด คือหนึ่งในภาพสะท้อนของฟุตบอลยุคใหม่ที่ตัวเลขและสถิติมีความสำคัญต่อการประเมินค่า ทั้งในมุมรางวัลส่วนบุคคล ค่าเหนื่อย และค่าตัวในตลาดนักเตะ แต่สำหรับเวิร์ตซ์ การเลือกที่จะบอกว่า “ไม่สำคัญหรอกว่าประตูเป็นชื่อใคร วันนี้เราแค่เสมอ” แสดงให้เห็นว่าเขายังยึด “ผลลัพธ์ของทีม” เป็นหลัก มากกว่าการยึดติดกับชื่อของตัวเองบนกระดานคะแนน

    เมื่อมองไปข้างหน้า ลิเวอร์พูลไม่มีเวลามานั่งจมอยู่กับผลเสมอนานนัก เพราะโปรแกรมต่อไปคือการบุกเยือนเอลแลนด์ โร้ดเจอกับลีดส์ ยูไนเต็ด ทีมที่เพิ่งคืนฟอร์มด้วยชัยชนะ 3–1 เหนือเชลซีในคืนเดียวกัน ความมั่นใจของเจ้าบ้านย่อมกำลังพุ่งสูง ในขณะที่ลิเวอร์พูลต้องพยายามกู้ความเชื่อมั่นของตัวเองกลับมาให้ได้ภายในเวลาไม่กี่วัน Slot จะต้องตัดสินใจครั้งสำคัญทั้งเรื่องการจัดตัว ว่าจะให้ซาลาห์กลับมาเป็นตัวจริงหรือไม่ และจะใช้เวิร์ตซ์ในตำแหน่งใดเพื่อดึงศักยภาพสูงสุดออกมา

    สำหรับแฟนหงส์แดง เกมเจอซันเดอร์แลนด์อาจถูกจดจำในฐานะคืนที่เวิร์ตซ์ “เกือบ” ได้ประตูแรก แต่ในภาพใหญ่กว่านั้น มันอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการตั้งคำถามอย่างจริงจังต่อทั้งโครงสร้างเกมรุก แท็กติกของกุนซือ และความพร้อมของทีมที่จะเดินหน้าต่อในเส้นทางลุ้นพื้นที่ยุโรปหรือแชมป์ในระยะยาว

    ถ้าคุณชอบอ่านเกมแบบมองละเอียดทั้งแท็กติก ฟอร์ม และตัวเลขเหมือนวิเคราะห์จังหวะของฟลอเรียน เวิร์ตซ์ ลองเอาวิธีคิดแบบเดียวกันมาใช้กับการจัดการเงินและการลงทุนของตัวเองผ่าน ufa365 ดูบ้างก็ได้ เพราะเมื่อคุณมีเว็บที่ข้อมูลครบ อ่านง่าย และตัดสินใจได้เร็วเหมือนจังหวะยิงของเพลย์เมกเกอร์ชั้นยอด ทุกสเต็ปการวางแผนของคุณก็อาจ “เข้ากรอบ” ได้บ่อยกว่าที่คิดมากเลย

  • เกมบิ๊กแมตช์ บาร์เซโลน่า 3-1 แอตเลติโก มาดริด ufa365

    เกมบิ๊กแมตช์ บาร์เซโลน่า 3-1 แอตเลติโก มาดริด ufa365

    เกมบิ๊กแมตช์ บาร์เซโลน่า 3-1 แอตเลติโก มาดริด คัมแบ็กสุดโหด เปดรียืนหนึ่ง พาทีมหนีจ่าฝูง 4 แต้ม ufa365

    เกมบิ๊กแมตช์ ค่ำคืนที่คัมป์ นูแห่งใหม่เต็มไปด้วยดราม่าทั้งเกม บาร์เซโลน่าต้องเจอบททดสอบใหญ่เมื่อโดนแอตเลติโก มาดริด บุกมานำก่อน แต่สุดท้ายกลายเป็นอีกหนึ่งค่ำคืนที่แฟนเจ้าบุญทุ่มจะไม่มีวันลืม เมื่อทีมรักคัมแบ็กยิงสามลูกรวด แซงชนะ 3-1 พร้อมขยับหนีเป็นจ่าฝูงลา ลีกา ทิ้งห่างอันดับสองออกไปเป็น 4 คะแนน และสำคัญกว่านั้นคือการแสดงให้เห็นถึง “คาแรกเตอร์ทีมลุ้นแชมป์” แบบเต็มตัว

    แม้สกอร์สุดท้ายจะดูหรู แต่ต้องยอมรับว่าช่วงต้นเกม บาร์ซ่าเองก็เจอความกดดันไม่น้อย โดยเฉพาะจากลูกชิ่งเร็วและการวิ่งตัดไลน์ของแนวรุกทีมตราหมี ที่ใช้จุดอ่อนเรื่องไลน์กองหลังสูงของฮันซี่ ฟลิคได้อย่างเจ็บปวด ทว่าพอผ่านช่วงตั้งหลักไปได้ ทีมเจ้าถิ่นก็เริ่มค่อย ๆ คุมจังหวะ สะสมโอกาส และท้ายที่สุดก็ปิดเกมได้อย่างเด็ดขาดในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ

    ตราหมีลงโทษไลน์สูงของบาร์ซ่าก่อน จากลูกง้างเท้าสุดเฉียบของบาเอน่า

    ประตูแรกของเกมเกิดขึ้นในนาทีที่ 19 และเป็นฝั่งแอตเลติโก มาดริด ที่ลงโทษจุดอ่อนของบาร์ซ่าได้อย่างเฉียบคม จังหวะนี้แนวรับเจ้าบ้านดันขึ้นมาสูงจนเกือบทั้งแผงยืนอยู่ในแดนคู่แข่ง ตามปรัชญาเพรสสูงแบบฮันซี่ ฟลิค แต่กลับกลายเป็นดาบสองคมเมื่อแนวรับทีมเยือนได้บอลเคลียร์แล้วง้างยาวทันที

    นาฮูเอล โมลิน่า เห็นช่องว่างด้านหลังแนวรับบาร์ซ่าเลยโยนบอลยาวแบบพุ่งโค้งไปให้ อเล็กซ์ บาเอน่า วิ่งทะลุช่องหลุดเดี่ยวเข้าไป บาเอน่าควบบอลเข้าเขตโทษด้วยความมั่นใจ ก่อนใช้ด้านนอกเท้าปัดบอลลอยผ่านโจน การ์เซีย ที่ออกมาบีบมุมให้แคบลง แต่ยังโดนชิพข้ามอย่างพอดี บอลกระดอนหนึ่งจังหวะแล้วค่อย ๆ ไหลเข้าประตูไปอย่างเหนือชั้น เป็นประตูที่ทั้งสวยและแสดงให้เห็นถึงการบ้านที่ดีของทีมตราหมี

    ประตูนี้สะท้อนชัดเจนว่า เกมรับไลน์สูงของบาร์ซ่าถ้าไม่มีการประสานงานที่เป๊ะในเรื่องระยะห่างกับผู้รักษาประตู และจังหวะดันกับถอย จะโดนลงโทษได้ทุกเมื่อ โดยเฉพาะกับทีมที่มีตัวรุกสปีดจัดและจบสกอร์นิ่งอย่างแอตเลติโก

    เปดรีเปิดเครื่องควบคุมเกม แรฟินญ่าช่วยตีเสมอแบบสุดนิ่ง

    ข้อดีของบาร์ซ่าชุดนี้คือ “ไม่ตื่นตระหนก” แม้จะโดนนำในบ้าน เพียงหกนาทีหลังจากนั้น เจ้าบุญทุ่มก็กลับเข้าสู่เกมได้จากความเยือกเย็นของสองคีย์แมนแดนกลาง–แดนหน้า อย่างเปดรีและแรฟินญ่า

    เปดรีได้รับบอลในแดนตัวเองแบบไม่มีตัวบีบมากนัก ซึ่งเป็นความผิดพลาดในการตั้งโซนของแอตเลติโก เขาใช้เวลาประเมินช่องว่างสั้น ๆ ก่อนพาบอลเดินไปข้างหน้าด้วยจังหวะก้าวที่นิ่งแล้วแทงทะลุช่องไปให้แรฟินญ่าวิ่งสอดระหว่างดาบิด ฮานชโก้ และเกลม็อง ล็องเลต์

    แรฟินญ่าควบบอลเข้าเขตโทษแบบไม่ชะงักให้กองหลังได้ตั้งตัว จังหวะสุดท้ายแตะหลบยาน โอบลัค ที่พุ่งออกมาปิดมุมอย่างรวดเร็ว ก่อนใช้ขวาแปโล่ง ๆ เข้าไป เป็นประตูที่แสดงให้เห็นทั้งความเฉียบคม และความเข้าใจกันของเพลย์เมคเกอร์กับตัวจบสกอร์แบบเต็ม ๆ

    จังหวะนี้ไม่ใช่แค่การตีเสมอ แต่เป็นการดึงโมเมนตัมเกมกลับมาให้บาร์เซโลน่าเต็มตัว กองเชียร์ในสนามเปล่งเสียงดังขึ้น เกมเพรสสูงเริ่มมีพลัง และผู้เล่นแอตเลติโกก็เริ่มต้องถอยไปตั้งบล็อกลึกมากขึ้น

    จุดโทษที่หลุดกรอบของเลวานดอฟสกี้ โมเมนตัมที่เกือบหาย แต่ยังไม่พัง

    อีกหนึ่งจุดเปลี่ยนสำคัญของครึ่งแรกคือจังหวะที่บาร์เซโลน่าได้จุดโทษจากการที่ดานี่ โอลโม่โดนปาโบล บาร์ริออสทำฟาวล์ในเขตโทษ กรรมการชี้ไปที่จุดโทษทันที และแน่นอนว่าคนที่เดินมารับหน้าที่สังหารคือ โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้

    ทุกคนในสนามคาดว่าจะได้เห็นสกอร์พลิกเป็น 2-1 ก่อนพักครึ่ง แต่กลับกลายเป็นว่าหัวหอกตัวเก๋าของเจ้าบุญทุ่มดันยิงหลุดกรอบแบบไม่น่าเชื่อ ลูกบอลพุ่งแรงแต่เหินข้ามคานไปทางซ้าย ชนิดที่โอบลัคทำได้แค่พุ่งมอง

    จังหวะนี้ถ้าเป็นบาร์เซโลน่าในบางช่วงหลายปีที่ผ่านมา อาจทำให้ทั้งทีมเสียความมั่นใจ แล้วปล่อยให้เกมไหลไปเข้าทางคู่แข่ง แต่สิ่งที่เราเห็นจากทีมของฟลิคในเกมนี้คือ ทุกคนยังคงเล่นตามแผนต่อ ไม่ท้อ ไม่เร่งเกมจนเละ พยายามเซ็ตบอลใหม่ และใช้บอลบนพื้นกับการเคลื่อนที่หาช่องตัดแนวรับตราหมีอย่างมีวินัย

    ครึ่งหลังบาร์ซ่าบุกหนัก ก่อนโอลโม่ปิดจังหวะสุดเนียน

    เปิดครึ่งหลังมา บาร์เซโลน่าแทบจะตั้งแคมป์ในแดนแอตเลติโก เกมรุกของพวกเขาไหลลื่นจากซ้ายไปขวา เปลี่ยนจังหวะสั้น–ยาวได้หลากหลาย และใช้ตำแหน่งของเปดรีเป็นศูนย์กลางในการพาบอลผ่านแนวรับหลายชั้นของทีมเยือน

    ประตู 2-1 ที่มาในนาทีที่ 65 จึงเหมือนสิ่งที่ทุกคนรออยู่ เปดรีจ่ายบอลเข้ากลางให้ดานี่ โอลโม่หน้ากรอบเขตโทษ แล้วโอลโม่ก็เล่นชิ่งเร็วกับเลวานดอฟสกี้ได้อย่างลงตัว รับบอลคืนในจังหวะวิ่งทะลุเข้าเขตโทษ ก่อนใช้เท้าซ้ายปาดยิงหักข้อไปเสาไกล บอลพุ่งเรียดหนีมือโอบลัคเสียบมุมอย่างเฉียบคม เป็นประตูที่สะท้อนคอนเซ็ปต์ “ทีมเพลย์” ของบาร์เซโลน่าได้ชัดเจนที่สุดลูกหนึ่งของเกมนี้

    ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เกมเหมือนถูกล็อกให้บาร์ซ่าอยู่เหนือกว่า ทั้งในแง่การครองบอล การสร้างโอกาส และการบีบให้แอตเลติโกต้องหาจังหวะสวนกลับโดยอาศัยการวิ่งตัดหลังไลน์สูงเหมือนเดิม ซึ่งแม้จะมีโอกาสจะแจ้งอีกครั้งจากบาเอน่า และช็อตหลุดเดี่ยวของติอาโก้ อัลมาด้า แต่ก็จบไม่ได้

    ตราหมีพยายามสวนกลับ แต่ยิงไม่คม และเจอการ์เซียช่วยเซฟชีวิต

    แม้สกอร์จะตามหลัง แอตเลติโก มาดริดต่อสู้จนถึงนาทีท้าย ๆ พวกเขายังวางบอลยาวเบียดใช้หลังแนวรับของบาร์ซ่าให้ทำงานหนักอยู่ตลอด ทั้งการจ่ายของโมลิน่า อัลมาด้า และบาเอน่า ที่วนเวียนหาโอกาสหลุดกับไลน์สูง

    โจน การ์เซีย ต้องออกแรงช่วยทีมเจ้าบ้านหลายครั้ง โดยเฉพาะเซฟลูกหลุดเดี่ยวของบาเอน่าในครึ่งแรกที่ช่วยไม่ให้เกมไหลเป็น 0-2 และเซฟอีกสองสามจังหวะจากการยิงนอกกรอบในครึ่งหลัง ถ้าเกมนี้บาร์เซโลน่ามีแต่เกมรุกโดยไม่มีผู้รักษาประตูยืนระดับนี้ ผลการแข่งขันอาจกลับกันได้ไม่ยาก

    แอตเลติโกเคยเป็นทีมที่ขึ้นชื่อเรื่องวินัยเกมรับและการปิดประตูคู่แข่งให้สนิท แต่ในเกมนี้พวกเขากลับปล่อยให้บาร์ซ่าสร้างโอกาสได้ถึง 19 ครั้ง และโดนเปิดพื้นที่กลางสนามบ่อยกว่าปกติ แถมยังต้องรับมือกับการโอเวอร์โหลดของบาร์ซ่าที่ใช้ทั้งฟูลแบ็กและตัวรุกข้างบีบให้แนวรับตราหมีต้องยืนต่ำมากกว่าที่ดิเอโก้ ซิเมโอเน่ต้องการ

    ประตูย้ำชัยนาที 96 แฟร์รานปิดบัญชีจากการประสานงานทางซ้าย

    ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ เมื่อแอตเลติโกพยายามดันสูงเพื่อหวังตีเสมอ ก็ยิ่งถูกบาร์เซโลน่าใช้ช่องว่างด้านหลังลงโทษมากขึ้น ประตู 3-1 ในนาทีที่ 96 เกิดจากการเซ็ตบอลทางฝั่งซ้ายอย่างอดทน เริ่มจากการหมุนบอลไปรอบ ๆ ก่อนทำชิ่งระหว่างมาร์คัส แรชฟอร์ด กับอเลฆานโดร บัลเด้

    บัลเด้ได้โอกาสเติมขึ้นสูงแล้วเปิดบอลเรียดเข้ากลางไปที่แฟร์ราน ตอร์เรส ซึ่งวิ่งสอดเข้ามาในพื้นที่โล่งอย่างมีเวลา แตะบอลหนึ่งครั้งแล้วซัดเรียดเสียบเสาไกลแบบไม่เหลือ เป็นการยิงปิดเกมที่ทำให้ทั้งสนามโล่งใจ และยืนยันว่าชัยชนะเกมนี้สมควรเป็นของบาร์เซโลน่าอย่างแท้จริง

    เปดรี หัวใจแดนกลาง และแมน ออฟ เดอะ แมตช์ แบบไร้ข้อโต้แย้ง

    หากต้องเลือกชื่อเดียวว่าใครคือคนสำคัญที่สุดของเจ้าบุญทุ่มในเกมนี้ คงหนีไม่พ้น เปดรี มิดฟิลด์ดาวรุ่งที่เพิ่งกลับมาจากอาการบาดเจ็บแต่เล่นเหมือนไม่เคยหายไปจากทีม เขาคือคนเริ่มต้นจังหวะบุกแทบทุกครั้ง เป็นคนจ่ายคีย์พาสให้แรฟินญ่าตีเสมอ และยังมีส่วนในจังหวะขึ้นเกมสู่ประตูของโอลโม่

    ตลอด 74 นาทีในสนาม เปดรีสร้างโอกาสได้ถึง 3 ครั้ง ตัวเลขนี้สะท้อนให้เห็นเพียงส่วนหนึ่ง แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือ ความนิ่ง และ การอ่านเกม ของเขา ที่ช่วยให้บาร์ซ่าคอนโทรลจังหวะได้อย่างอยู่หมัด ไม่เร่งเกมจนพลาดง่าย และไม่ชะลอจนเปิดโอกาสให้ตราหมีกลับมาบีบแย่งบอลง่าย ๆ

    การได้เปดรีในฟอร์มแบบนี้กลับมา ถือเป็นข่าวดีมหาศาลสำหรับฮันซี่ ฟลิค เพราะมันทำให้แดนกลางของเขาดูมีสมดุลระหว่างการสร้างสรรค์เกมและการเชื่อมจังหวะจากหลังไปหน้าแบบลื่นไหลขึ้นอีกระดับ

    สถิติเกม: บาร์ซ่าคุมเกม แต่ยังมีบทเรียนให้แก้

    ตัวเลขหลังเกมยิ่งตอกย้ำภาพที่เราเห็นในสนาม

    • การครองบอล: บาร์เซโลน่า 58% – 42% แอตเลติโก มาดริด
    • ยิงทั้งหมด: บาร์เซโลน่า 19 ครั้ง – 7 ครั้งแอตเลติโก
    • ยิงเข้ากรอบ: บาร์เซโลน่า 6 – 2
    • เตะมุม: บาร์เซโลน่า 5 – 4
    • ฟาวล์: บาร์เซโลน่า 12 – 9

    บาร์ซ่าสร้างโอกาสได้เยอะมาก แต่เปลืองโอกาสไปไม่น้อย โดยเฉพาะในช่วงที่กดคู่แข่งอยู่ข้างเดียว ถ้าแอตเลติโกเฉียบคมกว่านี้ หรือได้ประตูที่สองก่อน เกมอาจพลิกทิศทางไปอีกแบบหนึ่ง ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่ฟลิคต้องนำไปปรับ ทั้งในเรื่องการปิดเกม และการไม่เปิดพื้นที่แนวหลังมากเกินจำเป็น

    ผลต่อการลุ้นแชมป์ และโปรแกรมถัดไป

    ชัยชนะเกมนี้ทำให้บาร์เซโลน่าหนีห่างทีมตามหลังในตารางลา ลีกาออกไปเป็น 4 คะแนน เสริมความมั่นใจอย่างมากในการเดินหน้าลุ้นแชมป์ต่อไป โดยโปรแกรมข้างหน้าคือเกมลีกกับเรอัล เบติสในวันเสาร์ ก่อนจะหันไปโฟกัสในถ้วยยุโรปกับไอน์ทรัค แฟรงก์เฟิร์ตในศึกแชมเปียนส์ลีกกลางสัปดาห์

    ส่วนแอตเลติโก มาดริด ต้องรีบลืมความผิดหวังให้เร็วที่สุด พวกเขายังมีโปรแกรมนอกบ้านรออยู่ต่อเนื่อง ทั้งบิลเบาในลีก และพีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่นในยุโรป หากไม่รีบยกระดับเกมรับกลับสู่มาตรฐานเดิม เส้นทางในทุกรายการอาจยุ่งยากกว่าที่ควรจะเป็น

    ถ้าคุณชอบเกมบิ๊กแมตช์ที่มีทั้งแท็กติกเข้มข้นและดราม่าจนถึงนาทีสุดท้าย แล้วอยากเปลี่ยนการดูบอลเฉย ๆ ให้กลายเป็นการลุ้นแบบมีชั้นเชิง ลองศึกษาอัตราต่อรอง สถิติ และแนวโน้มจากหลายลีกผ่าน ufa365 ช่องทางสำหรับคอบอลที่อยากใช้ข้อมูลวิเคราะห์ก่อนตัดสินใจเดิมพัน เพราะทุกเกมใหญ่อย่างบาร์เซโลน่า แอตเลติโก อาจไม่ได้ให้แค่ความมันส์ในสนาม แต่ยังซ่อนโอกาสทำกำไรเล็ก ๆ ให้แฟนบอลที่มองเกมขาดด้วยเช่นกัน

  • 11 ตัวจริง เชลซี ufa365

    11 ตัวจริง เชลซี ufa365

    โคล พัลเมอร์ คืนสนาม ตัวจริงนัดเยือนลีดส์ วิเคราะห์สองมุมมอง 11 ตัวจริง เชลซี ก่อนบุกเอลแลนด์ โร้ด ufa365

    11 ตัวจริง เชลซีเดินทางไกลสู่ยอร์กเชียร์ในวันพรุ่งนี้ เพื่อพบกับลีดส์ ยูไนเต็ด ที่สนามเอลแลนด์ โร้ด โดยเดอะบลูส์หวังจะกลับมาคว้าชัยชนะในพรีเมียร์ลีกอีกครั้ง

    การบุกเยือนเอลแลนด์ โร้ด ไม่เคยเป็นงานง่ายสำหรับทีมใหญ่ในพรีเมียร์ลีก และสำหรับเชลซีของเอ็นโซ่ มาเรสก้า เกมกลางสัปดาห์นี้ยิ่งสำคัญเป็นพิเศษ เพราะนอกจากจะต้องรีบลืมความเหนื่อยล้าจากเกมใหญ่ที่เสมอกับอาร์เซนอล 1–1 ไปให้ได้แล้ว ยังต้องเก็บสามแต้มเพื่อไม่ให้หลุดจังหวะจากกลุ่มหัวตารางในช่วงโค้งสำคัญของฤดูกาลด้วย

    อีกหนึ่งประเด็นที่ทำให้เกมนี้ถูกจับตามองคือการคาดการณ์ว่า โคล พัลเมอร์ มีโอกาสสูงจะได้ลงเล่นเป็นตัวจริงเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 2 เดือน หลังจากหายเจ็บต้นขาและนิ้วเท้า และถูกเก็บเป็นเพียงตัวสำรองที่ไม่ได้ใช้งานในเกมกับอาร์เซนอลที่ผ่านมา การได้เห็นพัลเมอร์กลับมาเดินเกมอีกครั้ง ถือเป็นข่าวดีอันดับต้น ๆ ของแฟนสิงห์บลูในช่วงที่ทีมต้องโรเตชันอย่างหนัก

    บทวิเคราะห์จากนักเขียนสองคนของสื่อดังในอังกฤษอย่าง Bobby Vincent และ Sam Truelove จึงน่าสนใจเป็นพิเศษ เพราะทั้งคู่ต่างลอง “สวมบทมาเรสก้า” แล้วจัด 11 ตัวจริงในแบบที่ตัวเองคิดว่าเหมาะสมที่สุดสำหรับเกมเยือนลีดส์ ยูไนเต็ดครั้งนี้

    ตารางแน่น เกมหนัก และโจทย์ใหญ่ของมาเรสก้า

    โปรแกรมของเชลซีในสัปดาห์นี้จัดว่าหนักและถี่ ทั้งยังต้องเจอทีมที่เล่นใช้พละกำลังเยอะอย่างลีดส์ แถมยังมีเกมกับบอร์นมัธรออยู่ในสุดสัปดาห์อีก มาเรสก้าจึงแทบจะเลี่ยงการโรเตชันไม่ได้

    เกมกับอาร์เซนอลเป็นหนึ่งในแมตช์ที่ใช้พลังงานสูงสุดของฤดูกาล เชลซีต้องเล่นด้วยความเข้มข้นทั้งเกม แถมยังต้องเสีย มอยเซส ไกเซโด้ ไปจากใบแดง ทำให้ตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรับต้องปรับเปลี่ยนจำเป็นทันที นี่ยังไม่นับอาการล้าที่สะสมของแนวรับตัวหลักอย่าง รีซ เจมส์, เวสลีย์ โฟฟาน่า และบรรดาแนวรุกที่วิ่งไล่เพรสแทบไม่หยุด

    ในบริบทแบบนี้ การจัดตัวจึงกลายเป็นด่านทดสอบอีกขั้นของมาเรสก้า ว่าเขาจะบาลานซ์ระหว่าง “ผลการแข่งขัน” กับ “สภาพร่างกายผู้เล่น” ได้ดีแค่ไหน

    มุมมองของ Bobby Vincent  พักเจมส์ พักโฟฟาน่า เปิดทางเด็กดันและตัวสำรองคุณภาพ

    Bobby Vincent เลือกมองในมุมของการ “รักษาความสด” เป็นหลัก เขามองว่าด้วยระดับความกรำศึกจากเกมกับอาร์เซนอล ทำให้การเสี่ยงใช้งาน รีซ เจมส์ ต่อเนื่องแบบ 90+ นาทีซ้อนนั้นอาจไม่คุ้ม โดยเฉพาะเมื่อเจมส์มีประวัติอาการบาดเจ็บให้ต้องระมัดระวัง

    ในสายตาของ Bobby เกมนี้เป็นโอกาสดีที่จะให้เจมส์ได้พักบ้าง และเปิดทางให้ จอช อาเชมปง ลงมารับบทแบ็กขวา พร้อมกับให้ เวสลีย์ โฟฟาน่า หยุดพักเพื่อป้องกันอาการล้าสะสม โดยจับ ชาโลบาห์ ลงมาเป็นแกนหลักในแนวรับ นอกจากนี้เขายังอยากให้ มาร์ก กูกูเรย่า ได้พักอีกคน พร้อมผลักดันให้ จอร์เรล ฮาโตะ แบ็กซ้ายดาวรุ่งมีเวทีได้พิสูจน์ตัวเอง

    ในแดนกลาง Bobby เห็นตรงกับหลายคนว่า อันเดรย์ ซานโตส คือคนที่เหมาะจะรับช่วงต่อจากไกเซโด้ในฐานะมิดฟิลด์ตัวรับร่วมกับ เอ็นโซ่ แฟร์นันเดซ เพราะผลงานในเกมก่อน ๆ แสดงให้เห็นแล้วว่าเขาพร้อมสำหรับเวทีพรีเมียร์ลีก ทั้งวิ่งเก็บกวาด ดักบอล และเชื่อมเกมแบบเรียบง่ายแต่มีประสิทธิภาพ

    ส่วนแนวรุก Bobby เลือกสามประสานริมเส้นและเพลย์เมกเกอร์ได้อย่างน่าสนใจ ใส่ชื่อ เปโดร เนโต้ ยืนฝั่งขวา, อเลฮานโดร การ์นาโช่ ยืนซ้าย และให้ โคล พัลเมอร์ รับบทหมายเลข 10 คอยคุมจังหวะเกมรุกอยู่หลังกองหน้าตัวเป้าอย่าง เลียม เดลาป

    สำหรับ Bobby แล้ว เกมกับลีดส์คือโอกาสทองของพัลเมอร์ที่จะได้ลงสนาม 45–60 นาทีในสภาพที่ไม่หักโหมเกินไป แต่เพียงพอจะเรียกความคม ความมั่นใจ และจังหวะการเล่นคืนมา ก่อนกลับไปแบกภาระเกมใหญ่ในนัดต่อ ๆ ไป

    ไลน์อัพของ Bobby:
    Sanchez; Gusto, Acheampong, Chalobah, Hato; Santos, Fernandez; Neto, Palmer, Garnacho; Delap

    มุมมองของ Sam Truelove  ใช้เจมส์ต่อเนื่อง เพราะกุสโต้ก็เจ็บง่ายเหมือนกัน

    ฝั่งของ Sam Truelove เลือกมองต่างออกไปเล็กน้อย เขาเห็นว่าถึงแม้หลายคนอยากให้รีซ เจมส์ พัก แต่ในทางปฏิบัติแล้ว ตัวเลือกอย่าง มาโล กุสโต้ เองก็มีประวัติอาการบาดเจ็บไม่น้อยเช่นกัน การโยนภาระให้กุสโต้เป็นตัวจริงในเกมแบบนี้อาจเสี่ยงไม่ต่างกัน

    Sam จึงเชื่อว่า หากเจมส์ยังฟิตดีและไม่มีอาการตึงใด ๆ เกมนี้ก็อาจเป็นอีกครั้งที่เขายืนแบ็กขวาต่อไป โดยให้ ชาโลบาห์ ยืนเซ็นเตอร์คู่กับ ตอซิน อดาเราไบโย และใช้ มาร์ก กูกูเรย่า ยืนแบ็กซ้ายเหมือนเดิม เพื่อรักษาโครงสร้างเกมรับที่ลงตัวอยู่แล้ว

    ในแผงมิดฟิลด์ Sam ก็เห็นตรงกับ Bobby ในเรื่อง อันเดรย์ ซานโตส ว่าเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุดในการแทนตำแหน่งไกเซโด้ที่ติดโทษแบน โดยให้ยืนคู่กับ เอ็นโซ่ แฟร์นันเดซ เพื่อสร้างสมดุลระหว่างการตัดเกมและการต่อบอลสั้นขึ้นหน้า

    แนวรุกของ Sam จัดชุดที่ “กล้าเสี่ยงพอสมควร” ด้วยการให้ โคล พัลเมอร์ ยืนกลางรุกเหมือนกัน มี เปโดร เนโต้ ทำเกมทางขวา และเลือกใช้ อเลฮานโดร การ์นาโช่ ประจำการฝั่งซ้าย ขณะที่ศูนย์หน้าตัวยืนยังคงเป็น เลียม เดลาป เช่นเดิม

    Sam มองว่าการให้พัลเมอร์ออกสตาร์ทตั้งแต่นาทีแรก แต่จำกัดเวลาลงเล่นราว 45 นาที เป็นวิธีที่ดีในการค่อย ๆ คืนจังหวะให้เขาโดยไม่เสี่ยงเกินไป หากเกมขึงหรือต้องการปรับแท็กติก ก็ยังสามารถเปลี่ยนเป็นกองกลางประเภทอื่นลงมาช่วยเก็บบอลหรือเติมความสดได้ในครึ่งหลัง

    ไลน์อัพของ Sam:
    Sanchez; James, Chalobah, Tosin, Cucurella; Fernandez, Santos; Neto, Palmer, Garnacho; Delap

    จุดร่วมสำคัญ: ซานโตสแทนไกเซโด้ และพัลเมอร์ต้องได้เล่น

    แม้ Bobby และ Sam จะมีมุมมองต่างกันในเรื่องการพักหรือไม่พักรีซ เจมส์ รวมถึงการใช้แนวรับคนไหน แต่ก็มี “จุดร่วมสำคัญ” อยู่สองเรื่องที่สอดคล้องกันอย่างชัดเจน

    หนึ่งคือ ทั้งคู่เห็นตรงกันว่า อันเดรย์ ซานโตส ควรได้ลงเล่นแทนไกเซโด้ในเกมนี้ ไม่ใช่เพราะไม่มีตัวเลือกอื่น แต่เพราะผลงานช่วงหลังของเขาแสดงให้เห็นชัดว่าอ่านเกมได้ดี วิ่งช่วยเพรส ซ้อนพื้นที่ และเชื่อมบอลจากหลังขึ้นกลางได้อย่างเป็นธรรมชาติ จนหลายคนเริ่มมองว่าเขาอาจกลายเป็นชิ้นส่วนสำคัญคนใหม่ของเชลซีในระยะยาว

    สองคือ ทั้ง Bobby และ Sam เชื่อว่าถึงเวลาแล้วที่ โคล พัลเมอร์ จะต้องกลับมาเป็นตัวจริง ไม่ว่าจะเล่นในบทบาทหมายเลข 10 แบบเพลย์เมกเกอร์หลังหน้าเป้า หรือขยับไปเล่นด้านขวาในบางช่วงของเกม สิ่งสำคัญคือการให้เขาได้สัมผัสบอลบ่อย ๆ และกลับมามีส่วนร่วมกับจังหวะเข้าทำของทีมอีกครั้ง

    พัลเมอร์คือหนึ่งในนักเตะที่ทรงอิทธิพลที่สุดของเชลซี ทั้งในแง่การสร้างโอกาส การยิงประตูเอง และการรับผิดชอบจุดโทษ กว่า 2 เดือนที่ไม่มีเขาในสนาม ทำให้เกมรุกของเชลซีดูขาดคนที่สามารถ “เปลี่ยนจังหวะ” ได้ในพริบตา การได้เขากลับมาจึงเปรียบเหมือนการได้ตัวช่วยชั้นยอดกลับมาวางตรงกลางกระดานหมากรุกอีกครั้ง

    การ์นาโช่  การตัดสินใจที่สะท้อนแนวทางกล้าเล่นเกมรุก

    ทั้งสองไลน์อัพยังมีอีกหนึ่งชื่อร่วมกันคือ อเลฮานโดร การ์นาโช่ ในตำแหน่งปีกซ้าย การเลือกการ์นาโช่คือการส่งสัญญาณว่า เชลซีไม่คิดจะไปเยือนเอลแลนด์ โร้ดแบบตั้งรับเต็มสูบ แต่ต้องการใช้ความเร็วและความกล้าของเขาโจมตีแนวรับลีดส์

    การ์นาโช่เป็นผู้เล่นที่กล้าเลี้ยง กล้าลากตัดเข้าใน และชอบจบสกอร์เอง หากจับคู่กับพัลเมอร์และเนโต้ในแนวรุก เชลซีจะมีตัวรุกสามคนที่สามารถเปลี่ยนรูปแบบการเข้าทำได้หลายมิติ ทั้งการต่อบอลสั้น การแทงทะลุช่อง และการยิงไกล

    ลีกอังกฤษขึ้นชื่อเรื่องสนามเยือนที่บรรยากาศกดดัน และเอลแลนด์ โร้ดคือหนึ่งในนั้น แต่การมีแนวรุกที่ไม่กลัวเสียงโห่และพร้อมเล่นเกมสวนกลับความเร็วสูง จะช่วยให้เชลซีมีอาวุธพิเศษความเร็วด้านข้างเพียงพอรับมือแรงกดดันจากลีดส์

    เดลาป  หมายเลข 9 ที่ต้องพิสูจน์ตัวเองในเกมใหญ่

    อีกหนึ่งจุดที่ทั้ง Bobby และ Sam เห็นตรงกันคือ การส่ง เลียม เดลาป ลงเล่นเป็นกองหน้าตัวเป้า เดลาปอาจยังไม่ได้ยิงกระจายระดับหัวตาราง แต่ในแง่สไตล์ เขาเป็นกองหน้าที่วิ่งไม่มีหมด ไล่เพรสแนวรับคู่แข่งและเป็นกำแพงพักบอลชั้นดี

    ในเกมเยือนแบบนี้ การมีศูนย์หน้าที่ไม่กลัวดวลตัวต่อตัวกับเซ็นเตอร์คู่แข่ง ทั้งชน ทั้งชนะแรงปะทะ และพร้อมไล่กดดันตั้งแต่จังหวะเริ่มบิลด์จากหลังของลีดส์ จะช่วยให้แผนเพรสซิ่งของมาเรสก้าทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

    เมื่อผนวกกับการมีพัลเมอร์ยืนคอยแทงทะลุช่อง และปีกอย่างเนโต้–การ์นาโช่ เติมขึ้นมาซ้อนโซนสอง เดลาปจึงกลายเป็นจุดยึดที่สำคัญไม่แพ้ใครในโครงสร้างเกมรุก

    เกมนี้ไม่ใช่แค่สามแต้ม แต่คือบททดสอบความลึกของทีมเชลซี

    ในภาพรวม เกมเยือนลีดส์ครั้งนี้ไม่ใช่เพียงแมตช์ที่เชลซีต้องการชัยชนะเพื่อเก็บสามแต้มเท่านั้น แต่ยังเป็นบททดสอบว่าทีมของมาเรสก้ามี “ความลึกของขุมกำลัง” มากพอจะรับมือกับโปรแกรมถี่และสถานการณ์ตัวหลักบาดเจ็บ–ติดโทษแบนได้แค่ไหน

    ถ้าเจมส์ได้พักแล้วคนอย่างอาเชมปงหรือชาโลบาห์ทำหน้าที่แทนได้ดี นั่นคือสัญญาณว่าทีมไม่ได้พึ่งพาใครคนใดคนหนึ่งมากเกินไป ถ้าซานโตสลงมาคุมกลางแทนไกเซโด้ได้อย่างไม่เคอะเขิน ก็แปลว่าเชลซีได้มิดฟิลด์อีกหนึ่งคนที่พร้อมรับภาระแบบเต็มตัวในระยะยาว และถ้าพัลเมอร์กลับมาแล้วสามารถสร้างความแตกต่างทันที แม้จะลงเล่นแค่ 45–60 นาที ก็น่าจะเพียงพอจุดประกายความมั่นใจให้ทั้งตัวเขาเองและแฟนบอล

    สำหรับแฟนสิงห์บลู เกมนี้จึงเต็มไปด้วย “คำถามที่ทุกคนอยากเห็นคำตอบ” ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสภาพความฟิตของเจมส์ ฟอร์มของซานโตส การคืนสนามของพัลเมอร์ หรือความกล้าในเกมรุกของการ์นาโช่และเนโต้ – และคำตอบทั้งหมดจะถูกเฉลยที่เอลแลนด์ โร้ดในค่ำคืนกลางสัปดาห์นี้

    ถ้าคุณชอบวิเคราะห์ 11 ตัวจริง ก่อนแข่ง ลุ้นแท็กติก เปรียบเทียบตัวจริง–ตัวสำรอง แล้วตามดูผลจริงในสนาม ลองเพิ่มอรรถรสวันแข่งให้ลึกกว่าเดิมด้วยข้อมูล สถิติ และมุมมองแบบจัดเต็มจาก ufa365 ที่พร้อมพาคุณอินกับทุกนาทีของเกมที่เอลแลนด์ โร้ด

  • Antoine Semenyo

    Antoine Semenyo

    จากดาวดับสู่ดาวเด่น! อดีตแข้งยืมตัว Sunderland

    Antoine Semenyo ฤดูกาลนี้ Sunderland กลายเป็นหนึ่งในเรื่องราวที่น่าจับตามากที่สุดของพรีเมียร์ลีก หลังจากเลื่อนชั้นขึ้นมาแบบไม่มีใครคาดคิด พวกเขากลับเริ่มต้นฤดูกาลอย่างยอดเยี่ยม คว้าชัยสำคัญหลายครั้ง จนทะยานขึ้นไปรั้งอันดับ 6 ของตารางหลังผ่าน 13 นัด เหนือกว่า Manchester United และ Liverpool เรื่องนี้ทำให้แฟนบอลทั้งประเทศต้องหันมามองพวกเขาอย่างจริงจัง

    หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ผลักดัน Sunderland ให้ยืนอยู่ในจุดนี้ คือฟอร์มอันคงเส้นคงวาของ Granit Xhaka อดีตกองกลาง Arsenal ที่ย้ายมาด้วยค่าตัว 13 ล้านปอนด์จาก Leverkusen เขาปรับตัวเข้ากับทีมได้อย่างรวดเร็ว และกลายเป็นหัวใจสำคัญตรงกลางสนามแบบที่แฟนบอลเห็นแล้วต้องร้องว่า “คุ้มเกินราคา”

    แต่ในอีกมุมหนึ่ง Sunderland เองก็เคยมีโอกาสครอบครองหนึ่งในผู้เล่นที่ดีที่สุดของพรีเมียร์ลีก ณ เวลานี้—เขาคนนั้นก็คือ Antoine Semenyo

    ผู้เล่นที่หลายปีที่แล้วเคยถูกมองว่าเป็น “ดีลล้มเหลว” ตอนยืมตัวมา Sunderland แต่วันนี้กลับระเบิดฟอร์มกลายเป็นหนึ่งในปีกที่อันตรายที่สุดในลีก แถมยังถูกยกให้เหนือกว่า Xhaka ในแง่ “อิทธิพลต่อเกมรุก” แบบไม่ต้องสงสัย

    บทความนี้จะพาคุณย้อนอดีต—สู่ความผิดหวังของ Semenyo ที่ Sunderland และก้าวสู่ปัจจุบัน—ที่เขาถูกยกให้เป็นหนึ่งใน “ตัวรุกที่ดีที่สุดในพรีเมียร์ลีก” พร้อมเหตุผลว่าทำไมเขาถึงดีกว่า Xhaka จากมุมมองทางสถิติและผลกระทบที่มีต่อผลงานทีม

    Sunderland ที่ไม่สนคำดูถูก  ผลงานสวนทางทุกความคาดหวัง

    ก่อนเริ่มฤดูกาล หลายคนเชื่อว่า Sunderland จะเป็นหนึ่งในทีมที่มีโอกาสตกชั้นสูงที่สุด นั่นเพราะสถิติบ่งชัดว่าทีมที่เลื่อนชั้น 6 ทีมล่าสุด ล้วนตกชั้นทันทีภายในปีแรกหมด แต่ Sunderland ทำลายหน้าหนังสือนั้นทิ้ง โดยเริ่มฤดูกาลด้วยพลังแห่งความเชื่อมั่นและแท็กติกที่ยืดหยุ่น

    ชัยชนะเหนือ Bournemouth 3-2 เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ทำให้พวกเขาขึ้นไปอยู่ “Top 6” หลังจากผ่าน 13 นัด ซึ่งถือเป็นผลงานระดับมหัศจรรย์

    และในชัยชนะครั้งนั้น Xhaka กลายเป็นศูนย์กลางเกมของทีมอีกครั้ง เขาจ่ายบอลให้ Bertrand Traoré ยิงประตูได้อย่างยอดเยี่ยม แสดงให้เห็นประสบการณ์และความนิ่งที่ยังคงทำงานให้เขาแม้อายุจะ 33 ปี

    Xhaka คีย์แมนของ Sunderland แม้อายุ 33 ปี

    Sunderland รู้ดีว่าตนกำลังเซ็นสัญญากับนักเตะระดับใด
    เขาลงเล่นให้อาร์เซน่อลถึง 297 นัด และเคยแบกทีมในช่วงเปลี่ยนผ่านมาแล้วหลายครั้ง

    ปัจจุบันเขาทำสถิติ

    • 1 ประตู
    • 4 แอสซิสต์
    • ชนะจังหวะดวลป้องกัน 63%
    • ลงเล่นครบทุกนัดแบบแทบไม่หลุดทีม

    เขามอบทั้งความนิ่ง ประสบการณ์ และความมั่นใจให้แดนกลางของ Sunderland แฟนบอลรักเขา นักเตะเคารพเขา และโค้ชไว้วางใจเขา

    หากจัดอันดับนักเตะใหม่ที่ดีที่สุดของ Sunderland
    เขาคือ อันดับ 2 รองเพียง Robin Roefs มือกาวตัวเทพที่เซฟประตูช่วยทีมได้มากถึง 3.28 ลูก (สูงสุดในลีกตอนนี้)

    แต่ยังมีคนหนึ่ง “ดีกว่า Xhaka” แบบเหนือความคาดหมาย

    Sunderland เคยมีนักเตะอีกคนหนึ่งในมือ—แต่ปล่อยไปก่อนจะเห็นศักยภาพที่แท้จริง

    เขาก็คือ Antoine Semenyo

    ย้อนกลับไปปี 2020 Sunderland ยืมเขามาจาก Bristol City ในช่วงครึ่งหลังของฤดูกาล League One ตอนนั้นเขาอายุเพียง 20 ปี ถูกมองว่าเป็นดาวรุ่งที่มี “พละกำลังและความเร็ว” แต่กลับไม่สามารถสร้างผลงานได้เลย

    เขาลงเล่น 7 นัด (ตัวจริง 1 นัด)
    ยิง 0
    แอสซิสต์ 0
    โอกาสสร้างสรรค์ 0.4 ครั้ง/เกม

    แฟน Sunderland บางส่วนถึงขั้นมองว่าเขา ไม่ดีพอสำหรับลีกวันด้วยซ้ำ

    แต่เพียงไม่กี่ปีให้หลัง เขากลับกลายเป็น “หนึ่งในผู้เล่นที่ดีที่สุดของพรีเมียร์ลีก”

    โลกฟุตบอลบางครั้งก็แปลกเช่นนั้น

    Semenyo  จากดาวรุ่งที่ถูกมองข้าม สู่ปีศาจปีก Premier League

    หลังจากกลับจาก Sunderland เขาค่อย ๆ เติบโตกับ Bristol City จนกลายเป็นแกนหลัก ก่อน Bournemouth จะกล้าทุ่มเงินดึงตัวมาร่วมทีม

    และนั่นคือจุดที่ทุกอย่างเริ่มต้น—เขาระเบิดฟอร์มในพรีเมียร์ลีกอย่างที่ไม่มีใครคาดคิด

    ตั้งแต่ต้นฤดูกาลที่แล้วจนถึงตอนนี้ เขายิงไปแล้ว 17 ประตู และทำ 9 แอสซิสต์ ให้ Bournemouth

    นั่นหมายความว่า

    เขามีส่วนร่วมโดยตรงกับ 26 ประตูในเวลาไม่ถึง 2 ฤดูกาล

    สถิติที่ใกล้เคียงกับปีกระดับโลกบางคนด้วยซ้ำ

    ในฤดูกาลปัจจุบัน เขามี 9 ประตู + แอสซิสต์ มากที่สุดในพรีเมียร์ลีกในตำแหน่งปีก

    รองเพียง

    • Erling Haaland (15)
    • Igor Thiago (11)

    เขาทำได้มากกว่าปีกทุกคนในลีก และมากกว่า Mohamed Salah ในช่วงเวลาเดียวกัน

    ต้องไม่ลืมว่าเขาเล่นในทีมกลางตารางอย่าง Bournemouth ไม่ใช่ทีมยักษ์ใหญ่ที่มีเพื่อนคอยป้อนตลอดเกม

    คำชมจากตำนานอังกฤษ  “ปีกที่ดีที่สุดในประเทศ”

    Chris Waddle อดีตปีกทีมชาติอังกฤษและตำนานของ Tottenham ถึงกับพูดว่า

    “Semenyo คือปีกที่ดีที่สุดในอังกฤษตอนนี้”

    นี่คือคำชมที่หนักแน่น และไม่ได้เกิดขึ้นลอย ๆ

    เพราะเมื่อดูจากสถิติและฟอร์มการเล่น
    เขา

    • ยิงได้
    • จ่ายได้
    • สร้างสรรค์โอกาสได้
    • ยิงประตูสำคัญให้ทีมรอดตายหลายครั้ง

    นักเตะที่เคยยิง 0 ลูก 0 แอสซิสต์ใน League One
    วันนี้กำลังเป็น “หนึ่งในตัวรุกที่น่าดูที่สุดในพรีเมียร์ลีก”

    ทำไมถึงบอกว่า “ดีกว่า Xhaka”?

    ทั้งคู่เป็นผู้เล่นคนละสไตล์ เล่นกันคนละตำแหน่ง
    แต่ถ้าวัด “ผลกระทบต่อผลการแข่งขัน”

    Semenyo ชนะขาด

    สถิติชี้ชัดว่า

    • เขาทำให้ทีม Bournemouth เก็บคะแนนได้จากประตู/แอสซิสต์จำนวนมาก
    • เป็นตัวตัดสินเกมหลายครั้ง
    • ดึงกองหลังคู่แข่งให้เล่นยากขึ้นทุกนัด
    • มีค่าผลกระทบต่อเกมรุกสูงกว่า Xhaka หลายเท่า

    Xhaka เก่งในเชิงควบคุมเกม
    แต่ Semenyo คือ “ตัวเปลี่ยนเกม” ที่โค้ชทุกคนอยากมีในทีม

    นั่นทำให้เขาถูกยกให้เป็นหนึ่งในนักเตะที่ “ดีที่สุด” ในลีกตอนนี้
    และดีเกินกว่าที่ Sunderland จะเคยจินตนาการในตอนที่เขามาเล่นแบบยืมตัว

    บทสรุป จากล้มเหลวใน Sunderland สู่ความสำเร็จระดับพรีเมียร์ลีก

    เส้นทางของ Semenyo เป็นตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบของคำว่า “อย่าเพิ่งตัดสินนักเตะจากผลงานแรก ๆ”
    เพราะบางครั้ง เขาอาจยังไม่พร้อม ยังไม่ถูกระบบทีม หรือยังไม่ถึงช่วงพัฒนาที่แท้จริง

    วันนี้ เขาคือหนึ่งในผู้เล่นที่อันตรายที่สุด
    เร็วที่สุด
    ทรงพลังที่สุด
    และสร้างประตูมากที่สุดในพรีเมียร์ลีกจากตำแหน่งปีก

    หากตอนนี้เขายังอยู่ Sunderland ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาจะเป็น “ตัวเด่นที่สุดของทีม”

    และนั่นคือเหตุผลว่าทำไมเขาถึงถูกมองว่า

    “ดีกว่า Xhaka”
    อย่างน้อยในฤดูกาลนี้—แบบไม่ต้องถกเถียงให้เสียเวลา

    อยากวิเคราะห์ฟอร์มนักเตะแบบเจาะลึก พร้อมดูมุมมองที่แม่นกว่าเดิม รวมสถิติ ทีม ฟอร์ม และจังหวะเกมสำคัญทั้งหมดไว้ในที่เดียว อัปเดตทุกประเด็นฟุตบอลแบบเรียลไทม์ พร้อมมุมมองเดิมพันที่เฉียบคมที่สุดผ่าน ufa169

  • Yoane Wissa

    Yoane Wissa

    ปีนี้ของYoane Wissa ย่ำแย่กว่าเดิม นักเตะใหม่จากนิวคาสเซิลช่วงซัมเมอร์หลุดโผทีมชาติคองโกชุดลุยแอฟริกัน เนชันแนล แชมเปี้ยนชิพ

    การเดินทางของ Yoane Wissa กับชีวิตใหม่ที่สโมสร Newcastle United ดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องง่ายมาตั้งแต่วันแรกที่เขาย้ายมาถึง Tyneside ด้วยค่าตัวมหาศาล 55 ล้านปอนด์ ในฐานะนักเตะตัวความหวังที่จะเข้ามาแทน Alexander Isak ที่ย้ายออกไป ลิเวอร์พูล แต่แทนที่จะได้เริ่มต้นฤดูกาลอย่างสง่างาม เขากลับต้องพักยาวเพราะอาการบาดเจ็บที่หัวเข่า ตั้งแต่ลงรับใช้ทีมชาติ DR Congo หลังย้ายทีมแค่ไม่กี่วันเท่านั้น

    และล่าสุด สถานการณ์ของ Yoane Wissa ยิ่งหม่นหมองกว่าเดิม เมื่อเขาถูก ตัดชื่อจากทีมชาติ DR Congo ชุดลุยศึก Africa Cup of Nations (AFCON) ที่จะเริ่มในวันที่ 21 ธันวาคม แม้ตามหลักแล้ว เขาน่าจะเป็นหนึ่งในตัวหลักของทีม แต่สุดท้ายโค้ชกลับไม่เลือกเขา ซึ่งเป็นเรื่องที่ช็อกทั้งต่อแฟนบอลและตัวนักเตะเอง

    อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เหมือนจะเป็น “ข่าวร้าย” กลับอาจกลายเป็น “ข่าวดี” สำหรับ Newcastle ที่ยังคงรอเขาลงสนามอย่างใจจดใจจ่อ
    เริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยความโชคร้าย

    หลังจาก Newcastle ปิดดีลคว้าตัว Wissa ได้สำเร็จในวันสุดท้ายของตลาดซื้อขาย ความคาดหวังจากแฟนบอลเป็นไปในทิศทางที่ดีมาก การได้กองหน้าพรีเมียร์ลีกที่พิสูจน์ตัวเองมาแล้วกับ Brentford นั้นถือเป็นการเสริมทัพที่ยอดเยี่ยม แต่โชคร้ายมักมาแบบไม่ทันตั้งตัว

    เพียงไม่กี่วันหลังย้ายทีม เขาถูกเรียกตัวให้ไปช่วยทีมชาติ DR Congo ลงเตะในศึกคัดเลือกทัวร์นาเมนต์ระดับทวีป และในเกมที่ชนะ South Sudan 4-1 เขาทำผลงานได้ยอดเยี่ยม ทั้งยิงและจ่ายจนแฟน Newcastle เริ่มตื่นเต้นกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น

    แต่ในเกมถัดไปที่พบกับ Senegal ทุกอย่างกลับพังลงในพริบตา
    เขามีอาการเจ็บเข่าอย่างรุนแรงจนต้องถูกเปลี่ยนตัวออก และไม่ได้ลงเล่นอีกเลยนับตั้งแต่วันนั้น

    ช่วงแรกมีความกังวลว่าอาจเป็นการบาดเจ็บขั้นร้ายแรง เช่น ACL ฉีกขาด แต่ทีมแพทย์ของ Newcastle รีบยืนยันว่าไม่ถึงขั้นนั้น แม้จะเป็นข่าวดี แต่การฟื้นฟูอาการบาดเจ็บกลับใช้เวลานานกว่าที่คาดไว้มาก และยังมีรายงานว่าเขามี “อาการแทรกซ้อนเล็กน้อย” ระหว่างการฟื้นตัวด้วย ทำให้อดลงสนามต่อเนื่องถึงหลายเดือน

    ถูกตัดชื่อจากทีมชาติ  แต่กลับเป็นผลดีต่อสโมสร

    แม้ Wissa จะผิดหวังอย่างแรงกับการไม่ถูกเรียกติดทีมชาติ แต่ในมุมของ Newcastle มันคือสถานการณ์ที่แทบจะ “โล่งใจ”

    ตามกฎของพรีเมียร์ลีก หากนักเตะถูกเรียกตัวไปเล่นทีมชาติในช่วง AFCON สโมสรจะไม่สามารถใช้งานเขาได้แม้เขาจะหายเจ็บแล้วก็ตาม ซึ่งหมายความว่าแม้เขาจะฟิต 100% แต่ถ้าติดทีม DR Congo ก็ต้องรอจนทัวร์นาเมนต์จบก่อนถึงจะกลับมาเล่นให้ Newcastle ได้

    ดังนั้น การที่เขา “ไม่ติดทีมชาติ” ทำให้ Newcastle สามารถใช้งานเขาได้ทันทีหลังหายเจ็บ โดยไม่ต้องรอช่วงเวลาที่ยาวนานหลายสัปดาห์

    นี่คือข่าวดีอย่างยิ่งสำหรับ Eddie Howe ที่ต้องเจอกับโปรแกรมแน่นที่สุดช่วงหนึ่งของฤดูกาล — โปรแกรม Boxing Day และช่วงปีใหม่ที่แต่ละทีมต้องลงเล่นถี่จนนักเตะหลายรายบ่นไม่หยุด

    หาก Wissa ฟื้นตัวทัน เขาอาจลงสนามได้ก่อนปีใหม่ด้วยซ้ำ นั่นหมายถึง Newcastle จะได้ “กองหน้าใหม่ป้ายแดง” ช่วยทีมล่าประตูในช่วงคับขันของฤดูกาลพอดี

    บทบาทที่ Newcastle วางให้ Wissa

    หลายคนอาจสงสัยว่า Howe วางแผนจะใช้ Wissa อย่างไร?

    คำตอบคือ เขาถูกเซ็นมาในฐานะ ตัวแทน Isak โดยตรง
    ไม่ใช่ตัวสำรอง ไม่ใช่นักเตะโรเตชัน แต่ถูกคาดหวังให้เป็น “ตัวความหวังใหม่” ของทีม

    Newcastle เลือกเขาเพราะคุณสมบัติต่อไปนี้

    • มีความเร็วสูง สามารถลากบอลเข้าพื้นที่อันตรายได้ดี
    • เล่นเกมเพรสซิ่งเข้ากับระบบของ Howe
    • ยิงประตูสำคัญได้บ่อยในพื้นที่แคบ
    • เคยทำผลงานยอดเยี่ยมในพรีเมียร์ลีกกับ Brentford
    • มีประสบการณ์ในเกมใหญ่

    แต่ในช่วงที่เขาพักรักษาตัว คนที่ได้โอกาสแทนคือ Nick Woltemade กองหน้าดาวรุ่งที่ถูกดึงมาช่วงซัมเมอร์เดียวกัน และผลงานของเขาถือว่าทำได้ดีมาก ยิงถึง 7 ประตูจาก 14 นัดในทุกรายการ

    แม้จะเป็นข่าวดีต่อทีม แต่ก็สร้างแรงกดดันให้ Wissa ไม่น้อย เมื่อเขากลับมา เขาต้องแย่งตำแหน่งคืนจากกองหน้าคนที่กำลังฟอร์มดี ซึ่งเป็นเรื่องท้าทายมาก

    ความคืบหน้าอาการบาดเจ็บ Howe เผยเอง

    ก่อนเกมกับ Tottenham สัปดาห์นี้ Eddie Howe ให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์ล่าสุดของ Wissa โดยบอกว่า

    “เขาเพิ่งลงเล่นเกม 11 ต่อ 11 ในสัปดาห์นี้ตอนที่เราบุกไปเยือน Everton และสัปดาห์นี้จะมีอีกเกม เราจะประเมินอีกครั้งว่าเขาพร้อมแค่ไหน”

    เขาย้ำว่า

    “เขาฟื้นตัวดีมาก แต่เราจะยังไม่รีบส่งเขาลงสนามจนกว่าเขาจะพร้อมจริง ๆ และลดความเสี่ยงบาดเจ็บซ้ำให้มากที่สุด”

    จากประโยคนี้ แสดงให้เห็นว่า Howe และทีมแพทย์กำลังดูแล Wissa แบบประคบประหงมที่สุด เพราะนักเตะรายนี้ถูกมองว่าเป็น “การลงทุนระยะยาว” ของสโมสร ไม่ใช่แค่ตัวหลักชั่วคราว

    นอกจากนี้ Howe ยังพูดถึงบุคลิกของ Wissa อย่างชัดเจนว่า

    “เขาเป็นคนที่แข็งแกร่งมาก มองบวกตลอดเวลา และเป็นผู้นำที่ยอดเยี่ยม แม้เขาเพิ่งย้ายมาและยังไม่ได้ลงสนามเลยก็ตาม”

    คำชมนี้สะท้อนว่าเขาปรับตัวกับห้องแต่งตัวของ Newcastle ได้ดีมาก ถึงแม้จะยังไม่ได้ลงแข่งจริง

    ผลกระทบทางจิตใจจุดที่หลายคนมองข้าม

    สิ่งที่แฟนบอลหลายคนไม่เคยมอง คือผลกระทบทาง “จิตใจ” ของนักฟุตบอลที่ย้ายทีมด้วยค่าตัวสูงแต่กลับเจ็บทันที

    • ความกดดันจากยอดค่าตัว
    • ความคาดหวังของแฟนบอล
    • การต้องปรับตัวในเมืองใหม่
    • ไม่ได้ลงสนามกับเพื่อนร่วมทีม
    • ถูกตัดจากทีมชาติช่วงสำคัญ

    ทั้งหมดนี้รวมกันเป็นภาระหนักสำหรับนักกีฬา แต่การที่ Howe ชื่นชมเขาว่า “จิตใจแข็งแกร่งมาก” นั้นสำคัญมาก เพราะบ่งบอกว่าทีมสตาฟฟ์และเพื่อนร่วมทีมยังคงมั่นใจในตัวเขาเต็มที่ และเชื่อว่าเมื่อเขากลับมา เขาจะสร้างผลกระทบให้ทีมทันที

    ถ้าไม่บาดเจ็บ Wissa ควรติดทีมชาติหรือไม่?

    คำตอบคือ ควร 100%
    ก่อนเจ็บ เขาเป็นหนึ่งในนักเตะตัวรุกที่ฟอร์มดีที่สุดของ DR Congo ในรอบ 2-3 ปีที่ผ่านมา

    ดูจากผลงานล่าสุดกับ South Sudan

    • 1 ประตู
    • 1 แอสซิสต์
    • มีส่วนร่วมในเกมรุกตลอด 90 นาที

    แต่ฟุตบอลทีมชาติไม่ใช่เรื่องของ “ความสามารถอย่างเดียว”
    โค้ชจำเป็นต้องเลือกนักเตะที่ฟิตที่สุดในเวลานั้น เพื่อความสำเร็จของทีมชาติในทัวร์นาเมนต์เดียว

    ดังนั้น การที่ Wissa ยังอยู่ในช่วงฟื้นฟู แม้จะใกล้กลับมาแล้ว แต่ยังไม่ 100% ทำให้โค้ชจำเป็นต้องตัดใจเลือกนักเตะที่พร้อมทันทีแทนเขา

    สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้

    เส้นทางของ Wissa หลังโดนตัดชื่อทีมชาติชัดเจนมาก

    • เขาจะอยู่ซ้อมกับ Newcastle เต็มเวลา
    • สโมสรควบคุมโปรแกรมฟื้นฟูได้อย่างละเอียด
    • เมื่อพร้อมก็สามารถลงเล่นได้ทันที
    • ไม่ต้องเดินทาง ไม่ต้องเสี่ยงบาดเจ็บเพิ่ม

    ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามแผน เขาอาจได้มีชื่อในม้านั่งสำรองในอีก 1–2 สัปดาห์จากนี้ ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางใหม่กับ Newcastle ที่รอคอยกันมานานหลายเดือน

    บทสรุปปีที่เริ่มต้นด้วยโชคร้าย แต่ปลายปีอาจกลายเป็นจุดเริ่มต้นใหม่

    แม้หลายเรื่องจะเกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด และส่วนใหญ่เป็นเรื่องร้ายมากกว่าเรื่องดี แต่การถูกตัดชื่อจากทีมชาติครั้งนี้อาจเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้เขากลับมาเร็วขึ้น ฟิตขึ้น และพร้อมสำหรับการลุยพรีเมียร์ลีกอย่างแท้จริง

    หากเขากลับมาฟอร์มเดิมของตัวเองได้
    Newcastle จะได้กองหน้าที่ครบเครื่อง ทั้งความเร็ว ความดุดัน การเพรสซิ่ง และการจบสกอร์ที่เฉียบคม ซึ่งถือเป็นองค์ประกอบที่ Howe ต้องการอย่างแท้จริงฤดูกาลยังไม่จบ และบทของ Yoane Wissa กับ Newcastle เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น

    หากต้องการมองเกมแบบมีข้อมูลเหนือกว่า สามารถใช้บทวิเคราะห์เชิงลึกเพื่อเพิ่มโอกาสในการชนะเดิมพันได้เสมอ
    อัปเดตข้อมูลฟุตบอลแบบเรียลไทม์ พร้อมมุมมองเฉพาะทางได้ก่อนใครผ่าน ufa169

  • นาโปลี คว้าชัยชนะครั้งสำคัญเหนือโรม่า

    นาโปลี คว้าชัยชนะครั้งสำคัญเหนือโรม่า

    นาโปลี คว้าชัยชนะครั้งสำคัญเหนือโรม่า ร่วมทีมเอซี มิลาน ในศึกเซเรียอา เดวิด เนเรส ซัดประตูชัยเพียงประตูเดียวจากเกมที่ดุเดือดในนาทีที่ 36 ที่สตาดิโอ โอลิมปิโก ช่วยให้นาโปลีเอาชนะโรม่าไปได้ 1-0

    นาโปลี บุกคว้าชัยเหนือโรมา 1-0 ไม่ใช่แค่สามแต้มธรรมดา แต่เป็นชัยชนะที่ส่งพวกเขาขึ้นไปยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับเอซี มิลานบนยอดตารางกัลโช่ เซเรีย อา แบบเต็มภาคภูมิ เกมที่โอลิมปิก สเตเดียม ครั้งนี้เต็มไปด้วยความตึงเครียด การเข้าปะทะหนัก และแท็กติกระดับสูงจากทั้งสองทีม แต่ในท้ายที่สุดประตูเดียวจากดาวิด เนเรส ก็เพียงพอจะทำให้ทีมของอันโตนิโอ คอนเต้ ส่งสัญญาณดังชัดเจนถึงทั้งลีกว่าพวกเขาพร้อมแล้วสำหรับการลุ้นสคูเด็ตโต้อย่างจริงจัง

    นาโปลีเก็บเพิ่มเป็น 28 คะแนน เท่ากับเอซี มิลาน เป็นรองเพียงแค่ผลต่างประตู ได้หนึ่งแต้มเหนือโรมาและอินเตอร์ มิลาน ในสถานการณ์ที่หัวตารางอัดแน่นไปด้วยทีมลุ้นแชมป์หลายสโมสร ทุกคะแนนเริ่มมีมูลค่าเหมือนทอง คำว่าพลาดไม่ได้เริ่มดังขึ้นในหัวของทุกคนตั้งแต่ต้นเดือนธันวาคม

    คอนเต้พานาโปลีเล่น “เกมเยือนแบบทีมลุ้นแชมป์” ที่โรม

    สิ่งที่โดดเด่นที่สุดในเกมนี้ไม่ใช่จำนวนประตู แต่คือวิธีที่นาโปลีจัดการกับบรรยากาศและแรงกดดันในฐานะทีมเยือน คอนเต้พาลูกทีมลงเล่นที่โอลิมปิโกพร้อมแผนการเล่นที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ พวกเขาไม่ถอยลงต่ำเกินไป ไม่ได้มาแค่รอผลเสมอ แต่ค่อย ๆ ดันไลน์ขึ้น รอจังหวะสวนกลับในเวลาที่เหมาะสม

    ตลอดช่วงครึ่งชั่วโมงแรก โรมาพยายามเร่งจังหวะ หวังใช้เสียงเชียร์ในบ้านกดดัน แต่นาโปลีอ่านเกมได้ดี ปิดพื้นที่แดนกลาง ตัดทางส่งบอลไปยังตัวจบสกอร์ของโรมา ทำให้เจ้าถิ่นแทบไม่มีจังหวะจบแบบจัง ๆ เลย นี่คือภาพของทีมที่ “เล่นด้วยอำนาจและบุคลิก” อย่างที่คอนเต้พูดหลังจบเกม

    ประตูทองของเนเรส – คอนเตอร์หนึ่งครั้งที่คมกริบ

    ประตูตัดสินเกมเกิดขึ้นในนาทีที่ 36 จากจังหวะที่เป็นเหมือนต้นแบบของการเล่นเกมสวนกลับ นาโปลีเก็บบอลได้ในแดนตัวเอง ก่อนจะเปลี่ยนจากรับเป็นรุกในไม่กี่จังหวะ ราสมุส ฮอยลุนด์ ฉีกตัวเองลงมารับบอลตรงกลางสนามแล้วลากดึงแนวรับโรมาออกจากตำแหน่ง ก่อนแทงทะลุให้ดาวิด เนเรส หลุดเข้าไปในกรอบเขตโทษ

    เนเรสไม่ได้ยิงด้วยอารมณ์ แต่ใช้ความนิ่งค่อย ๆ แปบอลเรียดผ่านนายประตูโรมาไปอย่างเฉียบคม นั่นคือประตูที่สามของเขาในซีซั่นนี้ และเป็นประตูที่สะท้อนภาพรวมของนาโปลียุคคอนเต้ได้เป็นอย่างดี – ทีมที่ไม่ต้องบุกใส่ตลอดเวลา แต่ใช้จังหวะสำคัญได้อย่างทรงพลัง

    แนวรับเป็นกำแพงเหล็ก ปิดทุกช่องของโรมา

    หลังขึ้นนำ 1-0 แผนของนาโปลีชัดเจนยิ่งขึ้น พวกเขายอมถอยลงมารับเป็นระยะ ปรับไลน์กองหลังให้กระชับ ปิดช่องระหว่างเซนเตอร์กับฟูลแบ็ก ไม่ปล่อยให้แนวรุกโรมาได้เล่นบอลทะลุช่องง่าย ๆ

    แบ็กไลน์ของนาโปลีเล่นได้อย่างแข็งแกร่ง ทั้งการอ่านเกมดักบอลแรก การตามซ้ำจังหวะสอง รวมถึงการช่วยกันบีบพื้นที่จนโรมาต้องพยายามยิงไกลมากกว่าจะเจาะเข้ากลางได้สำเร็จ ตลอดทั้งเกม โรมาแทบไม่มีจังหวะได้ดวลตัวต่อตัวกับผู้รักษาประตูวานย่า มิลินโควิช ซาวิช เลย

    จังหวะที่ลุ้นที่สุดของเจ้าถิ่นเกิดขึ้นช่วงท้ายเกม นาทีที่ 90 เมื่อทอมมาโซ บัลดันซี ได้โอกาสซัดเรียดจากบริเวณเส้นเขตโทษ แต่ซาวิชยังล้มตัวปัดไว้ได้แบบเอาอยู่ เป็นเซฟที่รักษาสามแต้มเต็มให้ทีมได้อย่างน่าประทับใจ

    โรมาและความผิดหวังของกัสเปรินี – แพ้ให้คู่แข่งลุ้นแชมป์อีกครั้ง

    สำหรับโรมา ความพ่ายแพ้เกมนี้ทำร้ายความรู้สึกมากกว่าตัวเลขคะแนน เพราะนี่คือความพ่ายแพ้ต่อคู่แข่งโดยตรงในการลุ้นแชมป์เป็นครั้งที่สามของฤดูกาล หลังจากก่อนหน้านี้แพ้ทั้งมิลานและอินเตอร์มาแล้ว

    จาน ปิเอโร กัสเปรินี ยอมรับหลังเกมว่า โรมาเล่นช้าเกินไป ไม่สามารถรักษาจังหวะบอลให้รวดเร็วเหมือนที่ควรจะเป็น “เราแตะบอลหลายจังหวะเกินไป เมื่อบอลเคลื่อนที่ช้า การเจาะแนวรับที่จัดระเบียบดีอย่างนาโปลีก็แทบเป็นไปไม่ได้” เขากล่าว

    ความจริงแล้วโรมาเหมือนจ่ายค่าผลพวงจากการต้องลงเตะเกมยุโรปในวันพฤหัสบดี นักเตะแสดงอาการล้าทั้งในแง่การวิ่งไล่เพรสซิ่งและความเร็วในการตัดสินใจ หลายครั้งจังหวะเชื่อมบอลตรงกลางเหมือนช้าไปหนึ่งสเต็ป ทำให้แนวรับนาโปลีมีเวลาอ่านเกมและสกัดบอลได้อย่างสบายขึ้น

    นาโปลีของคอนเต้ – ทีมที่ผ่านพ้น “ช่วงหลุดฟอร์ม” และกลับมาเฉียบคม

    ก่อนพักเบรกทีมชาติครั้งล่าสุด นาโปลีเหมือนทีมที่กำลังแตกเป็นเสี่ยง ๆ ทั้งฟอร์มที่แผ่วลง ผลงานไม่คงเส้นคงวา และเสียงวิจารณ์ที่เริ่มดังขึ้น แต่หลังจากคอนเต้มีเวลารีเซ็ตทีม ปรับความสัมพันธ์ในห้องแต่งตัว และปรับจูนแท็กติกบางจุด ทีมก็กลับมาในโหมดเข้มข้นอีกครั้ง

    เกมนี้คือภาพของนาโปลีที่ “โต” ขึ้น ทั้งด้านวุฒิภาวะในเกมใหญ่ การคุมอารมณ์ในสนาม การรู้ว่าเมื่อไหร่ควรเร่งจังหวะ และเมื่อไหร่ควรเล่นแบบประคองสกอร์ นี่คือคุณสมบัติของทีมที่พร้อมลุ้นแชมป์ ไม่ใช่แค่ทีมที่เล่นสวยในบางวันแล้วหลุดฟอร์มในอีกวัน

    ขาดแข้งสำคัญแต่ยังหาทางชนะ – แท็กติกที่ยืดหยุ่นของคอนเต้

    สิ่งที่ทำให้ชัยชนะนัดนี้ยิ่งมีความหมาย คือการที่นาโปลีลงเล่นโดยไม่มีชื่อแข้งตัวหลักหลายคน ทั้งเควิน เดอ บรอยน์ อ็องเดร ฟรองก์ อองกิสซา บิลลี่ กิลมอร์ และโรเมลู ลูกากู ที่เจ็บยาว แต่คอนเต้ยังสามารถผสมผสานแนวรุกให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    เขาเลือกใช้สามประสานแนวรุกอย่างเนเรส โนอา ล็อง และฮอยลุนด์ โดยให้ฮอยลุนด์ยืนเป็นหน้าเป้า ขณะที่อีกสองคนเคลื่อนที่อิสระด้านข้างและระหว่างช่องกองหลัง การเคลื่อนที่สลับตำแหน่งตลอดเวลาทำให้แนวรับโรมาต้องคอยหันซ้ายหันขวา ทำให้เกิดช่องว่างให้ใช้ความเร็วและความเข้าใจเกมโจมตีเข้าใส่

    ประตูที่เนเรสยิงได้ก็เกิดจากแนวคิดนี้พอดี ฮอยลุนด์ฉีกตัวเองลงลึก ดึงเซนเตอร์ฝั่งหนึ่งออกจากพื้นที่ แล้วแทงช่องให้เนเรสที่วิ่งสอดเข้าไปแทนตำแหน่งโฉบยิงแบบเฉียบคม

    อินเตอร์ มิลาน ยังไม่ยอมหลุดวงโคจรลุ้นแชมป์

    ในขณะที่นาโปลีและมิลานยึดหัวตาราง อินเตอร์ มิลานก็ยังเกาะกลุ่มไม่ห่างด้วยการบุกชนะปิซา 2-0 จากผลงานสองประตูของเลาตาโร่ มาร์ติเนซ ในนาทีที่ 69 และ 83

    ชัยชนะนัดนี้สำคัญในเชิงสภาพจิตใจอย่างมาก เพราะก่อนหน้านั้นอินเตอร์แพ้แอตเลติโก มาดริด แบบเจ็บปวดในแชมเปียนส์ลีก และเพิ่งแพ้ในเกมดาร์บี้ ทำให้หลายคนเริ่มตั้งคำถามกับฟอร์มของทีม แต่เลาตาโร่ตอบทุกเสียงวิจารณ์ด้วยผลงานในสนาม เขากล่าวกับ DAZN ว่า “ผมปล่อยให้คนอื่นพูดไป สิ่งที่ผมทำคือทุ่มเทเต็มที่เพื่อทีม ตัวเอง และครอบครัว”

    สองประตูในเกมนี้ทำให้ยอดรวมประตูของเลาตาโร่ทะลุสองหลักในทุกรายการ และยังช่วยพยุงอินเตอร์ให้คงสถานะเป็นหนึ่งในทีมลุ้นสคูเด็ตโต้อย่างเต็มตัว แม้ฟอร์มโดยรวมในเกมกับปิซาจะยังไม่ไหลลื่นนัก แต่การคว้าสามแต้มในวันที่เล่นไม่ดี คือหนึ่งในคุณสมบัติของทีมใหญ่เช่นกัน

    อตาลันต้าเริ่มฟื้น ฟิออเรนติน่ายังจมปลัก

    อีกหนึ่งผลการแข่งขันที่น่าจับตา คือชัยชนะของอตาลันต้าเหนือฟิออเรนติน่า 2-0 ภายใต้การคุมทีมของรัฟฟาเอเล ปัลลาดิโน อดีตผู้เล่นของฟิออเรนตินาที่เพิ่งรับงานคุมอตาลันต้าไม่นาน หลังสโมสรแยกทางกับอิวาน ยูริช

    สองประตูจากโอดิลอน คอสซูนู และอเดโมล่า ลุคแมน ทำให้อตาลันต้าคว้าชัยเป็นนัดที่สามของฤดูกาลในลีก และต่อยอดฟอร์มอันยอดเยี่ยมจากเกมถล่มไอน์ทรัค แฟรงค์เฟิร์ต ในแชมเปียนส์ลีก ขณะที่ฟิออเรนติน่ายังหาชัยชนะไม่เจอ และต้องดิ้นรนหนีโซนตกชั้นด้วยช่องว่างหกแต้มที่เริ่มน่ากังวลขึ้นทุกสัปดาห์

    โบโลญญ่าและการลุ้นแชมป์แบบ “หลายขา” ของเซเรีย อา

    ยังมีชื่อของโบโลญญ่าที่พร้อมชิงพื้นที่หัวตาราง หากพวกเขาสามารถเอาชนะเครโมเนเซ่ในคืนวันจันทร์ได้สำเร็จ ทีมของวินเชนโซ อิตาเลียโน่จะขยับคะแนนขึ้นมาเท่ากับโรมาและอินเตอร์ทันที

    สถานการณ์นี้ทำให้กัลโช่ เซเรีย อา ฤดูกาลปัจจุบันไม่ได้เป็นการลุ้นแชมป์สองม้าระหว่างมิลานกับมาดอนนิน่าเหมือนหลายปีที่ผ่านมา แต่กำลังก่อตัวเป็นการขับเคี่ยวระหว่างอย่างน้อย 4–5 ทีม ซึ่งทุกการสะดุดเพียงนัดเดียวอาจหมายถึงการถูกแซงทันที

    นาโปลีอยู่ตรงไหนบนแผนที่ลุ้นสคูเด็ตโต้นี้

    ด้วยฟอร์มล่าสุดและการเล่นที่มีความสมดุลระหว่างเกมรุกกับเกมรับ นาโปลีของคอนเต้เริ่มถูกมองว่าเป็นทีมที่ “ครบเครื่อง” มากที่สุดทีมหนึ่ง พวกเขาแสดงให้เห็นแล้วว่าสามารถรับมือกับเกมใหญ่ในฐานะทีมเยือน เล่นแบบอดทน และรู้วิธีปิดเกมเมื่อได้โอกาส

    อย่างไรก็ตาม เส้นทางลุ้นสคูเด็ตโต้อย่างแท้จริงจะถูกตัดสินในช่วงที่โปรแกรมอัดแน่นโดยเฉพาะเมื่อต้องเจอกับยูเวนตุสในสัปดาห์หน้า เกมนั้นไม่เพียงสำคัญในแง่คะแนน แต่ยังสำคัญในแง่ของความเชื่อมั่น หากนาโปลีชนะ พวกเขาจะส่งสัญญาณไปทั้งลีกว่าไม่ได้มาเพียงแค่ยืนเคียงข้างมิลานชั่วคราว แต่พร้อมจะยึดจุดสูงสุดเป็นของตัวเอง

    เกมเดียวที่สะท้อนภาพรวมของทั้งฤดูกาล

    ชัยชนะ 1-0 เหนือโรมาอาจดูเรียบง่ายในสายตาคนที่เห็นแค่สกอร์ แต่สำหรับคนที่ติดตามรายละเอียดของเกม จะเห็นว่าแมตช์นี้เต็มไปด้วยสัญญาณหลายอย่าง ทั้งความแน่นของแนวรับนาโปลี การจัดการเกมของคอนเต้ การตอบสนองที่ช้าไปครึ่งจังหวะของโรมา รวมถึงการที่หัวตารางของเซเรีย อา เริ่มแคบลงทุกที

    นี่คือฤดูกาลที่เสน่ห์ของฟุตบอลอิตาลีกลับมาเต็มตัว เกมรับที่เหนียวแน่นยังมีบทบาท แต่ถูกผสมด้วยไอเดียเกมรุกแบบสมัยใหม่ การเคลื่อนที่ยืดหยุ่นของแนวรุก และการหมุนเวียนผู้เล่นเพื่อรับมือโปรแกรมถี่ ๆ ในทุกสัปดาห์ แฟนบอลจึงมีอะไรให้ลุ้นแทบทุกนัด ทั้งในแง่ผลการแข่งขันและในมิติแท็กติกที่ผู้จัดการทีมแต่ละคนงัดมาใช้

    ถ้าคุณชอบวิเคราะห์เกมใหญ่แบบโรมา–นาโปลี ชอบดูจังหวะเปลี่ยนเกมและผลกระทบต่อการลุ้นแชมป์ การนำข้อมูลเหล่านี้ไปต่อยอดในการตัดสินใจบน ufa169 จะช่วยให้ทุกแมตช์ในเซเรีย อา มีความหมายมากกว่าการเชียร์ทีมโปรดเพียงอย่างเดียว เลือกคู่ที่ใช่ วางแผนการเล่นให้ดี แล้วปล่อยให้ทุกค่ำคืนฟุตบอลกลายเป็นโอกาสใหม่ของคุณบนเว็บเดียวกันนี้

  • เรอัล มาดริด เสมอ 3 นัดรวดในลาลีกา

    เรอัล มาดริด เสมอ 3 นัดรวดในลาลีกา

    เรอัล มาดริดสะดุดอีกครั้ง เสมอกิโรน่า 1-1 หลุดจ่าฝูง ถูกบาร์เซโลน่าแซงนำ

    เรอัล มาดริด เสมอ 3 นัดรวดในลาลีกา เสียตำแหน่งจ่าฝูงให้กับบาร์เซโลน่า บาร์เซโลน่า เรอัล มาดริด บียาร์เรอัล และแอตเลติโก มาดริด มีคะแนนห่างจากจ่าฝูงลาลีกาเพียง 3 แต้ม หลังจากผ่านไป 14 นัดเท่ากัน

    ผลงานของเรอัล มาดริดในลา ลีกา ฤดูกาลนี้เริ่มส่งสัญญาณเตือนอย่างต่อเนื่อง หลังจากพวกเขาเสมอในเกมลีกเป็นนัดที่สามติดต่อกัน ล่าสุดถูกกิโรน่าทีมในโซนหนีตกชั้นหยุดไว้ที่สกอร์ 1-1 ในเกมที่เต็มไปด้วยความอึดอัด ความพยายาม และความกดดันทุกวินาที ผลการแข่งขันครั้งนี้ทำให้ราชันชุดขาวร่วงลงจากตำแหน่งจ่าฝูง และถูกบาร์เซโลน่าแซงขึ้นไปนำแทน

    แม้จะมีฮีโร่อย่างคีลิยัน เอ็มบัปเป้ ที่เพิ่งระเบิดฟอร์มสุดยอดกด 4 ประตูในเกมแชมเปียนส์ลีกกลางสัปดาห์ แต่การยิงจุดโทษเป็นเพียงสิ่งเดียวที่เขาทำได้ในเกมนี้ ขณะที่โอกาสทองช่วงทดเวลาบาดเจ็บก็หลุดกรอบไปอย่างน่าเสียดาย ทำให้มาดริดไม่สามารถคว้าชัยกลับบ้านได้

    เกมที่ถูกบีบให้ผิดฟอร์ม ความอึดอัดของมาดริดเริ่มตั้งแต่นาทีแรก

    ตั้งแต่เสียงนกหวีดเริ่มเกมที่สเตเดียม มอนติลิวิ กิโรน่าที่กำลังดิ้นรนเพื่อหนีตกชั้นเล่นแบบไม่เกรงกลัวชื่อชั้นของผู้มาเยือน พวกเขาเพรสซิ่งแทบทุกจังหวะ บีบพื้นที่กลางสนามจนมิดฟิลด์ของเรอัล มาดริดเสียจังหวะหลายครั้ง ทั้งจู๊ด เบลลิงแฮม, เฟเดริโก้ บัลเบร์เด้ และออเรลิยอง ชูอาเมนี่ เจอเกมหนักจนแทบหาพื้นที่ไม่ได้

    กิโรน่าวางแผนมาดี ใช้ความเร็วของแนวรุกแทงขึ้นด้านข้าง และคอยป้อนบอลเข้าเขตโทษให้กดดันกองหลังมาดริดอย่างต่อเนื่อง จนแฟนบอลเจ้าบ้านเริ่มมีความหวังว่าพวกเขาอาจสร้างเซอร์ไพรส์ได้เหมือนซีซั่นก่อนที่เคยโค่นมาดริดมาแล้ว

    อูนาฮีสร้างช็อก ยิงให้นำ 1-0 ก่อนพักครึ่ง

    ก่อนหมดครึ่งแรก ความพยายามของเจ้าบ้านก็ได้รับผลตอบแทน นาทีที่ 45 อัซเซดีน อูนาฮี หลุดขึ้นมาทางกรอบเขตโทษก่อนกดด้วยเท้าขวา บอลพุ่งเรียดเสียบเสาแบบที่อันเดรย์ ลูนิน หมดสิทธิ์เซฟ กลายเป็นประตูขึ้นนำ 1-0 และตามมาด้วยเสียงเฮสนั่นสเตเดียม

    ประตูนี้ช็อกแฟนบอลทีมเยือนทันที เพราะตลอดครึ่งแรกมาดริดดูเหนือกว่าในด้านการครองบอล แต่กลับเป็นฝ่ายถูกลงโทษจากจังหวะเสียบอลง่าย ๆ ในแดนกลาง

    ครึ่งหลังมาดริดปรับเกม รุกหนักขึ้นจนได้จุดโทษตีเสมอ

    คาบี อลอนโซ่ ผู้จัดการทีมราชันชุดขาว เห็นปัญหาในทันทีและเปลี่ยนแผนให้ทีมเดินหน้าไล่บดอย่างต่อเนื่องในช่วงครึ่งหลัง มาดริดเร่งสปีดเกมขึ้นชัดเจน บุกหนักทั้งจากด้านข้างและลูกยิงไกล

    ฟราน การ์เซีย และดาวิด อลาบา โยนบอลเข้ากรอบเขตโทษหลายครั้ง ส่วนเอ็มบัปเป้เริ่มหาช่องหลุดเข้าพื้นที่สุดท้ายได้มากขึ้น จนนำไปสู่จุดเปลี่ยนสำคัญของเกม

    นาทีที่ 67 มาดริดได้จุดโทษเมื่อกองหลังเจ้าถิ่นเสียจังหวะพุ่งสกัดพลาด เอ็มบัปเป้รับหน้าที่ยิงด้วยตัวเอง และแน่นอนว่าสังหารเข้าไปแบบไม่พลาด ทำให้สกอร์กลับมาเสมอ 1-1

    หลังจากนั้นเกมยิ่งเปิดมากขึ้น ฝั่งเจ้าบ้านเปลี่ยนมาเน้นตั้งรับเพื่อรักษาหนึ่งแต้ม แต่กิโรน่าก็ยังมีจังหวะสวนกลับให้ได้ลุ้นประปราย

    เอ็มบัปเป้เกือบเป็นฮีโร่อีกครั้ง แต่พลาดชัยชนะปลายเกม

    ช่วงทดเวลาบาดเจ็บ นาทีสุดท้ายของเกม เป็นโอกาสทองที่สุดของเรอัล มาดริด เมื่อเอ็มบัปเป้ได้ยิงโล่ง ๆ ด้วยเท้าขวาบริเวณเขตโทษ แต่บอลพุ่งเฉียดเสาไปอย่างน่าเสียดาย นักเตะทีมเยือนกุมหัวด้วยความเสียดายทันที

    ถ้าลูกนั้นเป็นประตู มาดริดจะคว้าชัยและแซงกลับขึ้นไปเป็นจ่าฝูงทันที แต่ฟุตบอลคือเรื่องของรายละเอียดเล็ก ๆ และจังหวะที่ไม่เข้าข้างพวกเขาในเกมนี้

    เสียงสะท้อนหลังเกม อลอนโซ่ชี้ทีมดีขึ้น แต่ยังต้องเฉียบขาดกว่านี้

    คาบี อลอนโซ่ เผยหลังเกมว่าแม้ทีมจะเริ่มจับจังหวะได้ในครึ่งหลัง แต่การขาดความคมในพื้นที่สุดท้ายทำให้พลาดสามแต้ม “เราปรับเกมดีขึ้นมาก เรามีโอกาสหลายครั้งแต่ยิงไม่คมพอ ครึ่งหลังเราสร้างโอกาสได้มากพอที่จะชนะ”

    นอกจากนี้ ยังมีจังหวะปัญหาในนาทีที่ 80 เมื่อร็อดรีโก้โดนปะทะในกรอบเขตโทษ แต่มาดริดไม่ได้ลูกโทษ ทำให้เกิดการประท้วงจากผู้เล่นและสตาฟฟ์ทีมเยือน เพราะมองว่าเป็นการตัดสินที่ผิดพลาดของกรรมการ

    สามเกมติดที่สะดุด ปัญหาใหญ่ที่เริ่มกดดันมาดริด

    หลังจากเสมอสามนัดติด มาดริดหลุดจากตำแหน่งนำเป็นครั้งแรกในรอบหลายสัปดาห์ ขณะที่บาร์เซโลน่าเอาชนะอลาเบส 3-1 ทำให้ขยับขึ้นไปนำโดยมี 1 แต้ม

    ฟอร์มการเล่นที่ดรอปลงของมาดริดเริ่มมีสัญญาณหลายอย่าง เช่น

    • การเสียบอลในแดนกลางง่ายเกินไป
    • เกมริมเส้นยังไม่เฉียบคม
    • ความฟิตของผู้เล่นหลักที่เริ่มล้า
    • คู่เซนเตอร์ยังไม่ลงล็อก 100%

    ทั้งหมดนี้สะท้อนว่าเส้นทางลุ้นแชมป์ยังอีกยาวไกล และมาดริดต้องรีบแก้ไขก่อนที่บาร์เซโลน่าหรือแอตเลติโก้ มาดริด จะฉวยโอกาสจี้เข้ามาใกล้กว่านี้

    ผลคู่สำคัญอื่นในลา ลีกา บียาร์เรอัลแรงต่อเนื่อง เบติสยึดอันดับ 5

    คู่ของเรอัล โซเซียดัดกับบียาร์เรอัลกลายเป็นอีกเกมที่สนุกสุดมันส์ บียาร์เรอัลนำ 2-0 แต่ถูกไล่คืนเป็น 2-2 ก่อนที่อัลแบร์โต โมไลโร่ จะยิงประตูชัยนาที 90+5 ช่วยให้ทีมเยือนชนะ 3-2 และยืดสถิติชนะในลีก 5 นัดติดต่อกัน

    ส่วนเรอัล เบติสก็ยังโชว์ฟอร์มแกร่ง บุกชนะเซบีย่า 2-0 ในดาร์บี้แมตช์ประจำเมือง ซึ่งเกมนี้ต้องหยุดแข่งขันนานกว่า 15 นาทีเพราะมีแฟนบอลเจ้าบ้านขว้างวัตถุลงสนาม

    อีกคู่หนึ่ง เอสปันญ่อลบุกชนะเซลต้า บีโก้ 1-0 จากประตูชัยนาที 86 ทำให้รั้งอันดับ 6 แบบเหนียวแน่น

    สถานการณ์หลังผ่าน 14 นัด ลุ้นแชมป์เดือดอีกปี

    หลังจากเกมทั้งหมดสิ้นสุดลง ตารางคะแนนล่าสุดเป็นดังนี้

    1. บาร์เซโลน่า – นำอันดับ 1
    2. เรอัล มาดริด – ตาม 1 แต้ม
    3. บียาร์เรอัล – ตาม 2 แต้ม
    4. แอตเลติโก มาดริด – ตาม 3 แต้ม
    5. เรอัล เบติส – ฟอร์มแรงต่อเนื่อง
    6. เอสปันญ่อล – คู่แข่งหน้าใหม่ที่สอดแทรกขึ้นมา

    ช่องว่างคะแนนที่เฉียดกันแบบนี้ทำให้ศึกลา ลีกา ฤดูกาลนี้มีแววจะเข้มข้นจนถึงโค้งสุดท้าย โดยเฉพาะเมื่อมาดริดกำลังอยู่ในช่วงสะดุดต่อเนื่อง

    มาดริดต้องกลับสู่จุดเดิมให้เร็วที่สุด

    การเสมอกิโรน่าถือเป็นสัญญาณที่ชัดว่าทีมเริ่มมีปัญหาในเกมรุก แม้จะครองบอลมากกว่าและมีผู้เล่นคุณภาพสูง แต่การจบสกอร์ยังไม่เด็ดขาด

    หากต้องการแชมป์ลีกในยุคที่คู่แข่งอย่างบาร์เซโลน่าและบียาร์เรอัลกลายเป็นทีมที่คงเส้นคงวาอย่างมาก มาดริดต้องรีบแก้ไขปัญหาเหล่านี้โดยเร็ว

    อย่างไรก็ตาม เกมยังเหลืออีกหลายสัปดาห์ จุดเปลี่ยนยังมีโอกาสเกิดขึ้นได้เสมอ และเอ็มบัปเป้พร้อมเป็นตัวชูโรงในการพาทีมกลับสู่ฟอร์มที่ดีที่สุด

    สำหรับแฟนบอลที่ชอบติดตามทิศทางตารางคะแนนหรือวิเคราะห์โอกาสแชมป์แต่ละทีม คุณสามารถเพิ่มความสนุกให้ทุกแมตช์ได้มากกว่าที่เคย ด้วยการนำข้อมูลเหล่านี้ไปต่อยอดในการตัดสินใจแบบมีชั้นเชิงบนเว็บฟุตบอลอย่าง ufa169 ที่เปิดโอกาสให้คุณลุ้นไปพร้อมกับเกมที่คุณรักแบบตื่นเต้นทุกสัปดาห์

  • เซลติก อำลา มาร์ติน โอนีล

    เซลติก อำลา มาร์ติน โอนีล

    เซลติก อำลา มาร์ติน โอนีล ในเกมยุโรปสุดยิ่งใหญ่ ด้วยชัยชนะนัดเยือนสุดประวัติศาสตร์

    เซลติก มอบค่ำคืนประวัติศาสตร์ให้ Martin O’Neill หลังบุกพิชิต Feyenoord 3-1 ส่งท้ายยุโรปอย่างงดงาม

    ค่ำคืนที่รอตเทอร์ดัมถูกเขียนไว้ในประวัติศาสตร์ของเซลติกอีกครั้ง เมื่อทีมของมาร์ติน โอนีลล์ บุกไปพลิกสถานการณ์จากการตามหลัง กลับมาคว้าชัย 3-1 เหนือเฟเยนูร์ดได้อย่างสง่างาม ในศึกยูโรปาลีกที่สนามเดอไคป์ ชัยชนะนี้ไม่เพียงเพิ่มแต้มล้ำค่าให้กับทีม แต่ยังเป็นเหมือนบทส่งท้ายยุโรปที่งดงามของกุนซือระดับตำนานที่เข้ามารับหน้าที่ชั่วคราว

    ชัยชนะครั้งนี้เปรียบเสมือนการผนึกความสำเร็จในยุคสั้น ๆ แต่ทรงคุณค่า ภายใต้การคุมทีมของโอนีลล์ ทั้งสไตล์การเล่นที่เด็ดขาด ความเชื่อมั่นของผู้เล่น และบรรยากาศรอบสนามที่เต็มไปด้วยความทรงจำ

    โอนีลล์ ผู้สร้างโมเมนตัมทีมในช่วงวิกฤต

    การกลับมาของมาร์ติน โอนีลล์ หลังการอำลาของเบรนแดน ร็อดเจอร์ส ไม่ได้มีใครคาดหวังมากนักว่าเขาจะทำให้ทีมกลับมายืนในจุดที่สูงขึ้น แต่สิ่งที่เกิดขึ้นเกินกว่าที่หลายฝ่ายคิด

    ใน 6 นัดแรก เขาพาทีมชนะถึง 5 นัด รวมทั้งเกมลีก เกมยุโรป และการล้มเรนเจอร์สในรอบรองชนะเลิศ พรีเมียร์ สปอร์ต คัพ ซึ่งเป็นผลงานที่ทำให้แฟนบอลกลับมามีความหวังอีกครั้ง

    แม้จะมีเพียงความพ่ายแพ้นัดเดียวต่อมิดทิลแลนด์ที่เสียสามประตูในแปดนาที แต่ภาพรวมของทีมภายใต้โอนีลล์คือ “แข็งแกร่งและโจมตีมั่นใจ” เขาเพิ่มความเชื่อมั่นให้ผู้เล่น กลับมาทำให้ทุกคนเล่นด้วยความหิวชัยและมีพลังกับเกมอีกครั้ง

    เฟเยนูร์ดออกนำก่อน แต่เซลติกไม่ยอมให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย

    เจ้าถิ่นเริ่มเกมได้ดีและออกนำเร็ว ทำให้ดูเหมือนว่าคืนนี้อาจเป็นอีกหนึ่งนัดที่เซลติกต้องผิดหวังในการเยือนยุโรป แต่ความจริงกลับต่างออกไป

    โอนีลล์อ่านเกมได้คมกริบ เขาปล่อยให้ทีมตั้งหลัก ตั้งรับอย่างมีวินัย ไม่เร่งจนพลาดง่าย และรอจังหวะสวนคืน

    ไม่นานหลังจากโดนประตูแรก เซลติกเริ่มกลับมาคุมเกมกลางสนามได้ดีขึ้น การเชื่อมต่อขึ้นเกมจากแดนหลังสู่แดนหน้าไหลลื่นกว่าเดิม ความมั่นใจเริ่มกลับมาในทุกจังหวะที่นักเตะจับบอล

    Yang Hyun-jun จุดประกาย  Hatate พลิกเกม Nygren ปิดบัญชีสุดเฉียบคม

    เซลติกได้ประตูตีเสมอจากยาง ฮยอน-จุน ที่สอดเข้าไปยิงอย่างยอดเยี่ยม นักเตะหนุ่มรายนี้แสดงให้เห็นว่าความเร็วและความเฉียบคมในพื้นที่สุดท้ายคือสิ่งที่เฟเยนูร์ดต้องหวาดกลัว

    พอได้ประตูคืน เกมกลับเข้าสู่โมเมนตัมของเซลติกทันที เหมือนความมั่นใจ “หลั่งไหลเข้าร่างกายผู้เล่น” อย่างที่โอนีลล์บอกหลังเกม

    เรโอะ ฮาตาเตะ คือผู้สร้างความแตกต่างในแดนกลาง เขาควบคุมบอลจังหวะสำคัญ เก็บบอลในพื้นที่แคบ และยิงซัดพาเซลติกแซงนำ 2-1 ด้วยความเฉียบขาด

    จากนั้นไม่นาน เบนจามิน ไนเกรน ทำประตูตอกฝาโลงอย่างสวยงาม ปิดเกม 3-1 และส่งกองเชียร์เจ้าถิ่นให้เงียบสนิท ส่วนแฟนบอลเซลติกที่เดินทางไปตามเชียร์ถึงเนเธอร์แลนด์ส่งเสียงร้องดังก้องสนาม

    ชัยชนะที่มีมากกว่า “สามคะแนน”

    ชัยชนะนัดนี้มีความหมายหลายระดับ ไม่ใช่แค่แต้ม แต่รวมถึงความมั่นใจของทีม เอกลักษณ์การเล่น และความเชื่อที่ทำให้นักเตะลุกขึ้นมาทำสิ่งที่ยากที่สุดได้อย่างสง่างาม

    เพราะนี่คือ…
    ✓ ชัยชนะยุโรปนัดเยือนครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2021
    ✓ ชัยชนะในเนเธอร์แลนด์ครั้งแรกตั้งแต่ปี 2001
    ✓ ชัยชนะที่มอบเป็นของขวัญสั่งลายุโรปให้มาร์ติน โอนีลล์
    ✓ ชัยชนะที่สะท้อนให้เห็นถึงความสามัคคีภายในทีม

    แฟนบอลเซลติกทราบดีว่าการคว้าชัยที่เดอไคป์ไม่ใช่เรื่องง่าย ทีมยักษ์แห่งดัตช์เป็นหนึ่งในเจ้าบ้านที่แข็งแกร่งที่สุดในยุโรป

    แต่เซลติกทำได้ และทำได้อย่างมีคุณภาพ

    โอนีลล์ รอยยิ้มสุดท้ายก่อนส่งไม้ต่อให้กุนซือใหม่

    หลังจบเกม โอนีลล์ให้สัมภาษณ์พร้อมรอยยิ้มว่า

    “มันยอดเยี่ยมมาก… การชนะเฟเยนูร์ดในบ้านของพวกเขาเป็นเรื่องพิเศษจริง ๆ”

    เขาเล่าติดตลกว่า

    “ผมให้พี่น้องสองคนที่มาด้วยช่วยเริ่มต้นเพลงเชียร์ พวกเขาคงทำงานได้ดีมาก เพราะผมได้ยินแฟน ๆ ร้องชื่อผมทั้งสนาม”

    ในวัย 73 ปี โอนีลล์ยังคงมีพลังงานที่เต็มเปี่ยม เสียงหัวเราะของเขาหลังเกมสะท้อนถึงความภูมิใจที่ทีมแสดงออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม แม้จะต้องส่งไม้ให้วิลฟรีด แนนซี่ในเร็ว ๆ นี้ แต่เขาก็ได้ปิดฉากยุโรปในฤดูกาลนี้ด้วยผลงานที่ตราตรึงที่สุดนัดหนึ่งในชีวิตการคุมทีม

    เกมนี้ทำให้เซลติกเข้าใกล้รอบต่อไปอีกขั้น

    ด้วยการคว้า 7 คะแนนจากการแข่งขันรอบแบ่งกลุ่มตอนนี้ เซลติกมีโอกาสดีมากในการผ่านเข้าสู่รอบน็อกเอาต์ของยูโรปาลีก ความมั่นใจหลังเกมนี้กลับมาพุ่งสูงแบบมีนัยสำคัญ

    สิ่งที่เห็นชัดเจนคือ…

    • ทีมเล่นได้เป็นระบบ
    • นักเตะตอบสนองแท็กติกของโอนีลล์อย่างยอดเยี่ยม
    • เกมรุกเฉียบคมขึ้น
    • เกมรับมีวินัยแม้เสียประตูเร็ว

    นี่คือฟอร์มของทีมที่พร้อมจะท้าชนกับสโมสรใหญ่ในยุโรป

    มุมแท็กติก: Celtic อ่านเกมได้เหนือชั้นกว่า

    แท็กติกของโอนีลล์ในเกมนี้น่าชื่นชมอย่างมาก การปล่อยให้เฟเยนูร์ดเปิดเกมรุกตั้งแต่ต้นเป็นกลยุทธ์ “ยืมเชื้อเพลิงความมั่นใจของคู่แข่ง” ก่อนจะตัดมันทิ้งในช่วงเวลาที่เหมาะสม

    จุดเด่นของเซลติกในเกมนี้มีหลายอย่าง เช่น

    • การรักษาระยะห่างในแดนกลางได้ดี
    • เกมสวนกลับมีประสิทธิภาพสูง
    • ผู้เล่นหลายคนมีความเข้าใจจังหวะเกมร่วมกัน
    • การจบสกอร์เฉียบคมกว่าหลายเกมก่อนหน้า

    ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่าทีมไม่ได้ชนะเพราะโชค แต่ชนะด้วย “คุณภาพและการเตรียมตัวที่ยอดเยี่ยม”

    เสียงเชียร์ที่ก้องดัง  สัญลักษณ์ของความรักที่มีให้โอนีลล์

    ช่วงท้ายเกม แฟนบอลเซลติกร้องเพลงเรียกชื่อโอนีลล์อย่างพร้อมเพรียง เสียงดังจนแม้ผู้สื่อข่าวที่อยู่ไกลก็ยังได้ยิน

    เป็นภาพที่ทำให้กุนซือวัย 73 ปีเกือบกลั้นน้ำตาไม่อยู่ เพราะนี่คือความรักและความทรงจำที่เขาจะเก็บไว้ตลอดชีวิต

    เกมนี้ไม่ใช่แค่สามคะแนน แต่มันคือ “ความผูกพันระหว่างโค้ช ทีม และแฟนบอล” ที่ถูกบันทึกไว้ในค่ำคืนพิเศษอีกหนึ่งคืน

    บทสรุป ชัยชนะที่สวยงามที่สุดนัดหนึ่งของเซลติกในรอบหลายปี

    ชัยชนะเหนือเฟเยนูร์ด 3-1 คือผลลัพธ์แห่งการทำงานหนัก ความเชื่อมั่น และประสบการณ์ของกุนซือระดับตำนาน

    มันคือเกมที่บอกว่า…

    • เซลติกกำลังกลับมามีชีวิตอีกครั้ง
    • ผู้เล่นตอบสนองต่อโอนีลล์อย่างยอดเยี่ยม
    • ทีมมีคุณภาพพอที่จะลุยลึกในยูโรปาลีก
    • นี่คือชัยชนะที่คู่ควรกับการส่งกุนซือผู้ยิ่งใหญ่เข้าสู่บทต่อไปของชีวิต

    ถ้าคุณชอบอ่านข่าวฟุตบอลแบบเจาะลึก พร้อมสรุปเกมและมุมมองเชิงแท็กติกที่เข้าใจง่าย ลองติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ufa007

  • สตราสบูร์ก 2-1 คริสตัล พาเลซ

    สตราสบูร์ก 2-1 คริสตัล พาเลซ

    Crystal Palace ‘สมควรแพ้’ ขณะที่สตราสบูร์กสร้างความเสียหายอีกครั้งในยุโรป

    ในค่ำคืนแห่งศึกยูฟ่า คอนเฟอเรนซ์ ลีก ที่สนามสต๊าด เด ลา เมโน Crystal Palace ต้องเผชิญกับความผิดหวังครั้งใหญ่เมื่อพวกเขาบุกไปแพ้สตราสบูร์ก 2-1 ทั้งที่เป็นฝ่ายขึ้นนำก่อน และมีโอกาสทองแบบ “โล่งสองครั้ง” ในครึ่งหลัง แต่กลับยิงไม่เข้าอย่างไม่น่าเชื่อจนถูกคู่แข่งลงโทษอย่างเจ็บแสบ

    โอกาส 6 คะแนนจาก 4 นัดของพาเลซถูกหยุดเอาไว้ทันที และกลายเป็นอีกหนึ่งบทเรียนสำคัญของทีมในฤดูกาลยุโรปครั้งนี้

    พาเลซพลาดความต่อเนื่องในยุโรป แม้เริ่มต้นเกมได้ดี

    ก่อนเกมนี้ พาเลซกำลังอยู่ในเส้นทางที่หวังจะสร้างความมั่นใจในเวทียุโรปหลังจากเก็บชัยชนะได้ถึง 2 จาก 3 นัดแรกในรอบแบ่งกลุ่ม การออกไปเยือนสตราสบูร์กที่ฟอร์มไม่สม่ำเสมอกว่าดูเหมือนจะเป็นโอกาสดีในการทำแต้มเพิ่ม

    และรูปเกมช่วงครึ่งแรกก็เหมือนจะเข้าทางทีมเยือนแบบเป๊ะ ๆ เมื่อไทริก มิทเชลล์ ทำประตูสุดสวยให้ทีมขึ้นนำ 1-0 ก่อนพักครึ่ง จากการเติมเกมมาซัดเต็มเท้าเข้าเสาสองอย่างเฉียบคม

    โมเมนตัมทั้งหมดอยู่กับพาเลซ แฟนบอลที่ตามไปเชียร์ก็เริ่มเชื่อว่าคืนนี้ทีมจะคว้าชัยในยุโรปเป็นนัดที่สามได้ไม่ยาก

    แต่ฟุตบอลคือเกมที่ไม่เคยมีคำว่า “แน่นอน”

    สตราสบูร์กตอบโต้ด้วยความเร็วและความคม จุดเปลี่ยนของเกม

    เข้าสู่ครึ่งหลัง สตราสบูร์กแก้เกมด้วยความเร็วในแดนหน้า โดยเน้นโจมตีจากพื้นที่ด้านข้างและการพาบอลเข้าเขตโทษอย่างรวดเร็ว

    กองหน้าตัวใหม่ที่กำลังเป็นข่าวจะย้ายไปเชลซีอย่าง เอ็มมานูเอล เอเมฆา (Emanuel Emegha) ใช้เวลาไม่นานในการสร้างผลกระทบ เขาเป็นคนยิงประตูตีเสมอ 1-1 หลังแนวรับพาเลซประกบห่างเกินไป

    ในจังหวะนั้น พาเลซดูเหมือนจะเสียสมาธิเล็กน้อย ความมั่นใจที่เคยมีก่อนพักครึ่งเริ่มสั่นคลอน เมื่อโดนคู่แข่งลงโทษครั้งแรกด้วยความเฉียบคม

    แต่จุดจบของพาเลซยังมาไม่ถึง…

    “สองประตูโล่งที่ยิงไม่เข้า”  ภาพจำที่ตามหลอกหลอน

    นาทีที่สำคัญที่สุดของเกมอาจไม่ใช่ประตูของฝ่ายใด แต่คือสองจังหวะที่พาเลซน่าจะฝังเกมนี้ไปให้เรียบร้อยตั้งแต่ก่อนโดนแซง

    ผู้รักษาประตูของสตราสบูร์ก ไมค์ เพนเดอร์ส (นักเตะเชลซียืมตัว) เล่นผิดพลาดอย่างหนัก ออกมาตัดบอลพลาดจนปล่อยให้กรอบเขตโทษด้านหลังเปิดโล่ง

    โอกาสที่ 1:
    อิสไมล่า ซาร์ เห็นประตูว่าง ๆ ตรงหน้าและบรรจงยิงจากระยะ 30 หลา แต่ลูกกลับพุ่งไปชนเสาอย่างเหลือเชื่อ

    โอกาสที่ 2:
    แอดัม วอร์ตัน ได้บอลบริเวณหน้าปากประตูแบบไร้ตัวประกบ ลูกยิงครึ่งวอลเลย์ของเขากระแทกคานอย่างจัง บอลเด้งกลับมาอย่างน่าเสียดาย

    สองจังหวะนี้อาจถูกพูดถึงไปอีกนาน เพราะหากพาเลซทำได้สักลูก เกมจะเปลี่ยนทิศทางทันที

    จากควรนำ 3-1 กลายเป็นโดนแซงแพ้ 2-1

    หลังพลาดทั้งสองประตูโล่ง เกมก็พลิกกลับอย่างรวดเร็ว

    สตราสบูร์กฉวยจังหวะสวนกลับ และซามีร์ เอล มูราเบ็ต ดาวรุ่งวัย 18 ปี ยิงประตูแรกในชุดใหญ่ให้ทีมขึ้นนำ 2-1

    ประตูนี้เต็มไปด้วยความมั่นใจของนักเตะดาวรุ่ง และแสดงให้เห็นการเชื่อมเกมในแนวรุกของสตราสบูร์กที่ดุดันขึ้นในทุก ๆ นาที

    เมื่อเหลือเวลาไม่มาก พาเลซพยายามบุกเต็มที่เพื่อทวงประตูคืน แต่ความมั่นใจและความคมที่หายไปทำให้โอกาสหลายครั้งถูกใช้ไม่คุ้มค่า ในที่สุดทีมก็ต้องแพ้เป็นนัดที่สองของรอบแบ่งกลุ่ม

    โอลิเวอร์ กลาสเนอร์ยอมรับตรง ๆ “วันนี้สมควรแพ้”

    หลังจบเกม กุนซือพาเลซ โอลิเวอร์ กลาสเนอร์ พูดตรงไปตรงมาว่า

    “ถ้ามีประตูโล่งอยู่ตรงหน้า 2 ครั้ง แล้วคุณยิงไม่ได้ ผลแบบนี้ก็ควรเกิดขึ้น เราไม่เด็ดขาดพอในจังหวะชี้เป็นชี้ตาย”

    เขายังกล่าวเพิ่มเติมว่า

    “จริง ๆ เรามีโอกาสจะนำ 3-1 และปิดเกม แต่สุดท้ายเราเสียสองประตูจากความผิดพลาดเล็ก ๆ น้อย ๆ รวมกับความไม่เฉียบคมของเราเอง และนั่นคือเหตุผลที่เราสมควรแพ้”

    นี่เป็นการยอมรับที่สะท้อนให้เห็นว่าแม้ทีมจะเล่นเป็นระบบ แต่ความคมและการตัดสินใจในพื้นที่สุดท้ายยังคงเป็นสิ่งที่ต้องปรับปรุงอย่างเร่งด่วน

    สถานการณ์ในตารางคอนเฟอเรนซ์ ลีก

    หลังความพ่ายแพ้ในเกมนี้ พาเลซมี 6 คะแนนจาก 4 นัด ชนะ 2 แพ้ 2 อยู่ในอันดับที่ 18 ของ 36 ทีม

    แม้แต้มยังห่างจากพื้นที่เพลย์ออฟไม่มาก แต่ฟอร์มการเล่นแบบ “คาดเดายาก” ทำให้เส้นทางในยุโรปของพาเลซยังต้องลุ้นแบบเหนื่อยพอสมควร

    รอบแบ่งกลุ่มปีนี้ใช้ระบบลีกที่มีหลายทีม ทำให้แม้จะแพ้ 2 จาก 4 นัด ทีมก็ยังมีโอกาสเข้ารอบ แต่ต้องเรียกฟอร์มกลับมาให้เร็วที่สุด

    ไทริก มิทเชลล์: จากฮีโร่ครึ่งแรกสู่ความผิดหวังท้ายเกม

    มิทเชลล์ ผู้ยิงประตูให้พาเลซขึ้นนำ กล่าวหลังเกมว่า

    “ผมดีใจที่ยิงได้ แต่ต้องผิดหวังมากที่เราไม่ได้สามคะแนน เราสร้างโอกาสดี ๆ เยอะมาก โดยเฉพาะสองจังหวะประตูโล่ง เราต้องคมกว่านี้”

    เขายังย้ำอีกว่า

    “เรารู้ว่าเรามีคุณภาพพอจะชนะทุกทีม เราแค่ต้องปิดจังหวะเกมให้ได้ ซึ่งวันนี้เราไม่ทำ”

    แสดงให้เห็นว่าทีมเชื่อมั่นในศักยภาพของตัวเอง แต่ข้อผิดพลาดเล็ก ๆ กลับกลายเป็นความแตกต่างที่ทำให้เสียคะแนนไป

    วิเคราะห์แท็กติก: พาเลซเล่นดี แต่แพ้เพราะความคม

    แม้ผลลัพธ์จะออกมาไม่ดี แต่รูปแบบการเล่นของพาเลซไม่ถึงขั้นย่ำแย่ พวกเขาสร้างโอกาสคุณภาพได้มากกว่าสตราสบูร์กในหลายช่วงของเกม

    ข้อดีที่เห็นได้ชัด:

    • เกมริมเส้นทำงานได้ดี โดยมีจังหวะเติมจากฟูลแบ็กหลายครั้ง
    • การเข้าทำในพื้นที่สุดท้ายมีความหลากหลาย
    • การเพรสซิ่งในแดนคู่แข่งมีประสิทธิภาพ

    แต่จุดอ่อนหลักที่ทำให้แพ้คือ:

    • การจบสกอร์ที่ไร้ความเด็ดขาด
    • ความผิดพลาดเชิงปัจเจกในบางตำแหน่ง
    • การรับมือความเร็วของสตราสบูร์กที่ยังไม่ดีพอ

    เกมนี้ไม่ใช่เรื่องของระบบ แต่เป็นเรื่องของ “ความคม” ที่หายไป

    ฟอร์มยุโรปของพาเลซยังไม่สม่ำเสมอ  และต้องปรับด่วน

    สองเกมที่แพ้—AEK ลาร์นาก้า และล่าสุดสตราสบูร์ก—มีรูปแบบคล้ายกัน
    คือการพลาดโอกาสสำคัญก่อนถูกลงโทษในช่วงสำคัญของเกม

    นี่คือเครื่องเตือนใจว่าทีมยังไม่ตันตัวพอในเกมระดับยุโรป ซึ่งมีความผิดพลาดให้เห็นน้อยกว่าเกมลีก โดยเฉพาะเมื่อเล่นเป็นทีมเยือน

    โอกาสเข้ารอบยังเปิดอยู่ แต่ต้องปรับความมั่นใจในพื้นที่สุดท้าย

    แม้พาเลซจะยังมีคะแนนพอให้ลุ้นเข้ารอบ แต่ต้องเร่งปรับเกมรุกให้คมขึ้นในทันที

    ในฟุตบอลยุโรป ความผิดพลาดเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็เพียงพอจะทำให้เสียทุกอย่างได้ และสองจังหวะที่พลาดในเกมนี้คือภาพชัดเจนที่สุด

    สรุป: คริสตัล พาเลซแพ้เพราะตัวเองมากกว่าคู่แข่ง

    • ทีมเล่นดีในครึ่งแรก
    • มีสองประตูโล่งที่ควรได้
    • ถูกลงโทษจากความไม่เฉียบคม
    • กลาสเนอร์ยอมรับสมควรแพ้
    • เส้นทางยุโรปยังต้องลุ้นหนัก

    เกมนี้บอกได้ชัดว่า พาเลซมี “คุณภาพ” แต่ยังไม่มี “ความนิ่ง” ที่ทีมยุโรปต้องการ หากไม่แก้ไขเกมรุกที่ไร้ความเด็ดขาด พวกเขาจะลำบากมากในการแข่งขันที่เข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ

    ถ้าคุณชอบบทวิเคราะห์บอลยุโรปแบบลงลึก พร้อมมุมมองเฉพาะตัวที่อ่านแล้วเห็นภาพชัดขึ้น ติดตามเนื้อหาแนวนี้เพิ่มเติมได้ที่ ufa007


  • บทสรุปล่าสุดของ น็อตติงแฮม ฟอเรสต์

    บทสรุปล่าสุดของ น็อตติงแฮม ฟอเรสต์

    คาดการณ์ 11 ตัวจริงของ น็อตติงแฮม ฟอเรสต์ พบ มัลโม่ ขณะที่ฌอน ไดช์ มีปัญหาอาการบาดเจ็บ

    น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ กำลังอยู่ในช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ ภายใต้การคุมทีมของ ฌอน ไดช์ ที่เข้ามายกระดับทั้งฟอร์มการเล่นและสภาพจิตใจของลูกทีมอย่างเห็นได้ชัด หลังจากเก็บชัยชนะในพรีเมียร์ลีกสองนัดติดต่อกัน บรรยากาศในทีมแดงแห่งฝั่งเทรนต์กลับมาคึกคักอีกครั้ง และค่ำคืนนี้พวกเขามีภารกิจสำคัญอีกหนึ่งเกมในศึกยูโรปาลีก เปิดบ้านรับมือ มัลโม่ ทีมที่มีความหมายทางประวัติศาสตร์กับสโมสรเป็นพิเศษ

    เพราะนี่ไม่ใช่แค่เกมรอบแบ่งกลุ่มธรรมดา แต่เป็น “รีแมตช์” ของนัดชิงยูโรเปียนคัพปี 1979 ซึ่งฟอเรสต์ภายใต้การคุมทีมของ ไบรอัน คลัฟ เคยคว้าชัยชนะเหนือมัลโม่และก้าวสู่ความยิ่งใหญ่ในยุโรป เกมนี้จึงเปรียบเหมือนภาพสะท้อนอดีตที่ถูกนำกลับมาฉายใหม่ในยุคสมัยของ ฌอน ไดช์

    ในขณะที่ความทรงจำในอดีตเป็นแรงบันดาลใจ ฟอเรสต์ก็ยังต้องเผชิญกับความจริงในปัจจุบัน นั่นคือปัญหา “อาการบาดเจ็บ” ที่รบกวนการจัดทีม โดยเฉพาะอาการ “มีปัญหาเล็กน้อย” ของ มอร์แกน กิ๊บส์-ไวท์ เพลย์เมคเกอร์ตัวสำคัญ ที่จะพลาดลงสนามในเกมนี้แน่นอน ทำให้ไดช์ต้องคิดหนักกับการวางแท็กติกและเลือก 11 ตัวจริงให้ลงตัวที่สุด

    บรรยากาศก่อนเกม: ชัยชนะต่อเนื่องและความคาดหวังที่เพิ่มสูงขึ้น

    ชัยชนะต่อเนื่องในพรีเมียร์ลีกทำให้ฟอเรสต์ไม่ได้ลงเล่นเกมนี้ในฐานะทีมที่ต้องลุ้นเอาตัวรอด แต่เป็นทีมที่เริ่ม “ตั้งมาตรฐานใหม่” ให้ตัวเองได้แล้ว การโค่นทีมใหญ่ การเก็บสามแต้มแบบมั่นใจ ทำให้เสียงวิจารณ์เชิงบวกไหลกลับมาหาทีมอย่างต่อเนื่อง

    ค่ำคืนนี้ที่ซิตี้ กราวด์ จึงไม่น่าจะเป็นเพียงแค่เกมบอลถ้วยธรรมดา แต่จะเป็นค่ำคืนที่เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกของแฟนบอล ทั้งความทรงจำในอดีต ความหวังในปัจจุบัน และความเชื่อว่าทีมกำลังอยู่ในมือของโค้ชที่ใช่

    อย่างไรก็ตาม ไดช์เองก็รู้ดีว่าความสำเร็จที่แท้จริงในฤดูกาลยาว ๆ จะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อทีมสามารถ “จัดการรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ” ได้ดี โดยเฉพาะการโรเตชัน การรักษาความฟิต และการอ่านโปรแกรมล่วงหน้า เพราะหลังเกมกับมัลโม่ พวกเขายังต้องเจอเกมใหญ่ในพรีเมียร์ลีกกับไบรท์ตันในอีกไม่กี่วันถัดไป

    ปัญหาอาการบาดเจ็บของกิ๊บส์-ไวท์: จุดบังคับให้ต้องคิดแท็กติกใหม่

    ข่าวร้ายก่อนเกมคือ มอร์แกน กิ๊บส์-ไวท์ มีปัญหาอาการเจ็บที่ถูกระบุว่า “ไม่รุนแรงมาก” แต่เพียงพอจะทำให้เขาไม่ได้มีชื่อในเกมนี้ ฌอน ไดช์ยืนยันว่ามันเป็นเพียง “issue เล็กน้อย” แต่ในเชิงแท็กติกแล้ว นี่คือการขาดหายไปของตัวเชื่อมเกมสำคัญคนหนึ่ง

    กิ๊บส์-ไวท์ ไม่ได้มีดีแค่สร้างสรรค์เกมรุก แต่ยังมีความสามารถในการเชื่อมระหว่างแดนกลางกับแนวรุก ช่วยดึงแนวรับคู่แข่ง เปิดพื้นที่ให้เพื่อน และมักมีส่วนร่วมทั้งประตูและแอสซิสต์ การที่เขาไม่พร้อมจึงบังคับให้ไดช์ต้องหาทางเลือกใหม่ในตำแหน่งหมายเลข 10

    ตัวเลือกที่ดูจะเป็นธรรมชาติที่สุดคือ เจมส์ แม็คอาที แข้งเทคนิคดีที่สามารถเล่นในพื้นที่ระหว่างไลน์กองกลางกับกองหลังคู่แข่งได้ดี เขาคือคนที่สามารถรับบอลในพื้นที่แคบ ๆ หมุนตัวหนีคู่แข่ง และจ่ายบอลแทงช่องให้แนวรุกได้ในจังหวะเดียว ซึ่งคล้ายกับบทบาทของกิ๊บส์-ไวท์ในหลาย ๆ มิติ

    นอกจากแม็คอาทีแล้ว ยังมีชื่อของ นิโกลัส โดมิงเกซ และ เอลเลียต แอนเดอร์สัน ที่สามารถขยับขึ้นมาเล่นในบทบาทตัวรุกตรงกลางได้เช่นกัน หรือหากไดช์ต้องการความแน่นหนา เขาอาจเลือกเปลี่ยนระบบจาก 4-2-3-1 มาเป็น 4-3-3 ใช้สามกองกลางยืนเป็นไลน์เดียวและเน้นการบุกจากริมเส้นแทน

    ระบบการเล่น: ยึด 4-2-3-1 หรือหันไปหา 4-3-3?

    คำถามสำคัญก่อนเกมนี้คือ ไดช์จะ “กล้าพอ” ที่จะโรเตชันพร้อมเปลี่ยนระบบไปด้วยหรือไม่

    • หากเลือกใช้ 4-2-3-1 ต่อไป
      • แม็คอาทีจะได้ยืนหมายเลข 10
      • ปีกสองฝั่งอาจเป็น ฮัดสัน-โอดอย และ ดาน เอ็นดอย
      • หน้าเป้าตัวจริงน่าจะยังเป็น อิกอร์ เชซุส ที่ได้รับความไว้วางใจในเกมยุโรป
    • หากเลือกใช้ 4-3-3
      • แดนกลางอาจใช้ โดมิงเกซ, เยตส์, ซ็องกาเร่ หรือแอนเดอร์สันในบทบาทสามมิดฟิลด์
      • เกมริมเส้นจะทิ้งภาระให้ตัวรุกอย่าง ฮัดสัน-โอดอย และเอ็นดอย โจมตีคู่ฟูลแบ็กมัลโม่โดยตรง

    อย่างไรก็ตาม จากรูปแบบการเลือกตัวจริงเกมยุโรปก่อนหน้า และความต้องการรักษาสมดุลระหว่างการโรเตชันและการลุ้นชนะ ดูแล้วมีแนวโน้มสูงที่ไดช์จะใช้ระบบ 4-2-3-1 แบบ “ปรับเบา ๆ” มากกว่าพลิกแผนใหญ่

    การโรเตชันตำแหน่งผู้รักษาประตูและแนวรับ

    ในเกมยุโรปก่อนหน้านี้ ไดช์เคยเลือกใช้ จอห์น วิคเตอร์ ลงเฝ้าเสาแทน มัทซ์ เซลส์ นายด่านมือหนึ่ง และมีความเป็นไปได้สูงว่าเขาจะให้โอกาสผู้รักษาประตูสำรองอีกครั้งในเกมนี้ เพื่อรักษาความฟิตและความสดของเซลส์สำหรับเกมพรีเมียร์ลีก

    แนวรับเอง ไดช์ไม่อยากเปลี่ยนเยอะเกินไป เพราะรู้ดีว่าความสัมพันธ์ระหว่างเซนเตอร์แบ็กและฟูลแบ็กคือหัวใจของความมั่นคงของทีม ถ้าปรับมากไปอาจทำให้เสียสมดุลเกมรับโดยไม่จำเป็น

    ชื่ออย่าง ซาโวนา, นิโคล่า มิลเลนโควิช, โมราโต้ และ เนโค วิลเลียมส์ มีลุ้นออกสตาร์ตพร้อมกัน โดยอาจมีการพักใครบางคนเพื่อเซฟไว้เจอไบรท์ตันในลีก แต่โครงสร้างหลักของแนวรับน่าจะยังถูกเก็บไว้ครบ

    แดนกลาง: สมดุลระหว่างพลังวิ่งและประสบการณ์

    กลางสนามคือโซนที่ไดช์ต้องคิดหนัก เพราะนี่เป็นตำแหน่งที่ต้องเจอการวิ่งไล่ กดดัน และเปลี่ยนเกมบ่อยที่สุด

    ชื่อของ ไรอัน เยตส์ เป็นตัวเลือกที่แทบจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ หากโค้ชต้องการพลังงานในแดนกลางและผู้นำเชิงสปิริต เขาคือคนที่ไล่เพรส บล็อกบอล และคอยเติมขึ้นไปซ้อนแนวรุกในจังหวะบุก

    ข้าง ๆ เขา นิโคลัส โดมิงเกซ อาจได้กลับมายืนในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวกลางตามธรรมชาติ แทนการถูกโยกไปเล่นกว้างอย่างที่เราเคยเห็นในสองเกมล่าสุด บทบาทของเขาคือการคุมจังหวะ เชื่อมเกม และช่วยเปลี่ยนแกนบุกจากซ้ายไปขวา

    ไดช์อาจเลือกพักใครบางคนอย่าง อิบราฮิม ซ็องกาเร่ หรือ แอนเดอร์สัน เพื่อถนอมสภาพร่างกายสำหรับพรีเมียร์ลีก แต่ก็ต้องรักษาความแข็งแกร่งของแดนกลางในระดับที่สามารถควบคุมมัลโม่ได้ตลอด 90 นาที

    เกมรุกริมเส้น: ฮัดสัน-โอดอย พร้อมคืนตัวจริง?

    ด้านบนสุดของสนาม เกมริมเส้นถือเป็นหนึ่งในอาวุธสำคัญของฟอเรสต์ยุคใหม่ ภายใต้แนวคิดของไดช์ที่ไม่ได้มีแค่ “โยนยาว-ลูกครอส” แบบเดิม ๆ แต่เพิ่มมิติเกมสวนกลับเร็ว การตัดเข้าใน และการเล่นประสานระหว่างปีกกับฟูลแบ็ก

    คัลลัม ฮัดสัน-โอดอย เพิ่งกลับมาลงสนามจากเดดเลกในเกมกับลิเวอร์พูล และแสดงให้เห็นว่าเขายังมีความอันตรายในจังหวะดวลหนึ่งต่อหนึ่ง หากฟิตสมบูรณ์ เขามีโอกาสสูงมากที่จะได้รับโอกาสออกสตาร์ตในเกมนี้

    อีกฝั่งหนึ่ง ดาน เอ็นดอย เป็นตัวเลือกที่สามารถช่วยทั้งเกมรุกและเกมรับ มีพละกำลัง วิ่งไม่หยุด และกดดันแนวรับคู่แข่งได้ตลอด 90 นาที หากโดมิงเกซถูกถอยกลับไปคุมกลาง เอ็นดอยจะยิ่งเบิกทางบนริมเส้นได้เต็มที่ขึ้น

    หน้าเป้ามีตัวเลือกไม่มากนักเนื่องจากปัญหาอาการบาดเจ็บ ทำให้ อิกอร์ เชซุส มีแนวโน้มที่จะรักษาตำแหน่งตัวจริงต่อไป กาลิมูเอนโด้อาจเป็นตัวสลับหรือเปลี่ยนเกมในครึ่งหลัง

    คาดการณ์ 11 ตัวจริงน็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ vs มัลโม่ (ยูโรปาลีก)

    จากองค์ประกอบทั้งหมด ทั้งเรื่องอาการบาดเจ็บของกิ๊บส์-ไวท์ ความจำเป็นต้องหมุนเวียนผู้เล่น และการรักษาความต่อเนื่องของฟอร์มการเล่น บทวิเคราะห์นี้คาดว่า ไดช์อาจจัด 11 ตัวจริงดังนี้

    ผู้รักษาประตู

    • จอห์น วิคเตอร์

    กองหลัง 4 คน

    • ซาโวนา
    • นิโคล่า มิลเลนโควิช
    • โมราโต้
    • เนโค วิลเลียมส์

    กองกลางตัวรับและตัวเชื่อมเกม

    • ไรอัน เยตส์
    • นิโคลัส โดมิงเกซ

    สามตัวรุกด้านหลังหน้าเป้า

    • ดาน เอ็นดอย
    • เจมส์ แม็คอาที (รับบทหมายเลข 10 แทนกิ๊บส์-ไวท์)
    • คัลลัม ฮัดสัน-โอดอย

    กองหน้าตัวเป้า

    • อิกอร์ เชซุส

    นี่คือทีมที่ผสมผสานระหว่าง “นักเตะตัวหลักที่รักษาโครงสร้าง” และ “ผู้เล่นที่ต้องการนาทีลงสนามเพิ่มเพื่อเรียกความฟิต” โดยไม่ลดทอนโอกาสการคว้าชัยในบ้าน

    สรุป: เกมที่ต้องเล่นด้วยหัวใจและความสมดุล

    เกมนี้ไม่ใช่เพียงการล่าคะแนนในยูโรปาลีก แต่ยังเป็นบททดสอบความลึกของสควอด น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ ว่าในวันที่ขาดเพลย์เมคเกอร์อย่างกิ๊บส์-ไวท์ และมีโปรแกรมถี่ยิบรออยู่ ทีมจะยังคง “เล่นตามมาตรฐานตัวเอง” ได้หรือไม่

    ฌอน ไดช์ต้องตัดสินใจอย่างระมัดระวังระหว่าง

    • การรักษาความต่อเนื่องของฟอร์ม
    • การปกป้องร่างกายนักเตะจากอาการล้า
    • การใช้โอกาสในบอลยุโรปเพื่อพิสูจน์ตัวเองบนเวทีระดับทวีป

    หากเขาอ่านสถานการณ์ได้ถูกทาง เลือกคนถูกตำแหน่ง และทีมตอบสนองแท็กติกได้ดี เกมกับมัลโม่อาจกลายเป็นอีกหนึ่งค่ำคืนที่สะท้อนให้เห็นว่า ฟอเรสต์กำลังเดินหน้าไปในทิศทางที่ถูกต้องทั้งในอังกฤษและในยุโรป

    หากคุณชอบอ่านบทวิเคราะห์ก่อนเกมแบบเจาะลึก ทั้งตัวผู้เล่น แท็กติก และแผนการจัดตัวจริง ลองติดตามคอนเทนต์แนวนี้ได้ที่ ufa007